PHOTO : Hug
8 ปีก่อน แบรนด์สินค้าสุขภาพเล็กๆ ชื่อ “ฮัก” (Hug) ถือกำเนิดขึ้น โดยความตั้งใจดีของ “ภมรรัตน์ พรรณรัตนพงศ์” ผู้ก่อตั้ง บริษัท ฮัก ออร์แกนิค จำกัด เธอมีฝันอยากเป็นผู้ประกอบการ เห็นความสำคัญของเรื่องสุขภาพ ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และสนใจวัตถุดิบของประเทศเรา เลยจับทั้งหมดนี้มาปลุกปั้นเป็นธุรกิจ
วันนี้ธุรกิจเล็กๆ เติบโตเป็นแบรนด์ที่รักของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ วางจำหน่ายในร้านสุขภาพชื่อดัง ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงแรม รีสอร์ต ตลอดจนช่องทางออนไลน์ และยังไปทำตลาดอยู่ในหลายประเทศอีกด้วย
พวกเขาทำได้อย่างไร? มาเรียนรู้ไปพร้อมกัน
สุขภาพของครอบครัวคือจุดเริ่มต้นดลใจให้เกิด Hug
ภมรรัตน์ เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวใหญ่ เธอมีหน้าที่พาอากงอาม่าไปหาหมอเป็นกิจวัตร เลยได้เห็นว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้นจะต้องเสียทั้งเวลาและเงินทองไปใช้ดูแลรักษาตัวเอง ซึ่งสำหรับบางคนอาจหมายถึงเงินเก็บทั้งชีวิตด้วยซ้ำ นั่นเองที่ทำให้เธอฉุกคิดได้ว่า ถ้าเราดูแลสุขภาพของตัวเองตั้งแต่ตอนที่ยังแข็งแรงอยู่ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เลยปรับการใช้ชีวิตของทั้งตัวเธอและครอบครัว ใส่ใจและเลือกสรรของที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
ความเป็นครอบครัวใหญ่ไม่ได้มีให้แค่ความอบอุ่น แต่หนึ่งความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ในแต่ละวันจะผลิตขยะเยอะมาก ซึ่งขยะส่วนใหญ่ก็มาจากของที่ใช้อยู่ในทุกๆ วัน และหากคิดย้อนกลับมาก็พบว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันนี่แหล่ะ ล้วนส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภมรรัตน์เกิดความคิดอยากทำสินค้าที่ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ขณะเดียวกันก็ต้องมีส่วนช่วยรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมด้วย
เมื่อนักวิจัยอาหารจะมาทำสินค้าเพื่อสุขภาพ
ต้นทุนความรู้ที่สำคัญของ ภมรรัตน์ คือเรียนจบมาทางด้าน Food Science & Nutrition จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ต่อด้วยปริญญาโทสาขา IMBA Global Entrepreneurship มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเป็นนักวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในโรงงานอาหาร อยู่ประมาณ 2-3 ปี ที่นั่นเหมือนสนามฝึกงานที่ให้ประสบการณ์จริงก่อนลุยธุรกิจของตัวเองในเวลาต่อมา
แม้จะสนใจในธุรกิจอาหาร และมีประสบการณ์มาโดยตรง แต่ทว่าเมื่อต้องคิดว่าจะทำธุรกิจอะไร เธอกลับไม่เลือกอาหาร
“ด้วยความที่อยู่ในวงการอาหารมาเยอะ เลยมองเห็นว่า จริงๆ แล้วธุรกิจอาหารมีความยากของมันอยู่ เลยลองถอยออกมาแล้วดูว่าจะมีธุรกิจไหนอีกบ้างที่อยู่ในหลักความคิดเดียวกัน คือใช้วัตถุดิบของประเทศไทย เกี่ยวกับสุขภาพ และดีต่อสิ่งแวดล้อม เลยมองถึงของที่ใช้ภายนอกจำพวกสบู่ แชมพู ที่ทำมาจากวัตถุดิบออร์แกนิก ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน คำว่าสินค้าสุขภาพที่ขายตามร้านส่วนใหญ่ยังเป็นเคมีอยู่ คืออาจใส่สารสกัดสมุนไพรเข้าไปแล้วก็บอกว่าเป็นสินค้าธรรมชาติแล้ว ต่างกับของเมืองนอกที่เขาจะไม่มีเคมีเลย เป็นสูตรที่อ่อนโยนจริงๆ ส่วนรูปลักษณ์ก็จะเป็นผู้ใหญ่ๆ หน่อย ไม่ก็แนวสมุนไพร ซึ่งมันยังไม่มีสินค้าที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่หรือคนวัยทำงานอย่างเราเลย”
เธอเล่าถึงช่องว่าง ที่ทำให้แบรนด์น้องใหม่อย่าง Hug ถือกำเนิดขึ้น ด้วยแนวคิดการส่งมอบอ้อมกอดจากธรรมชาติให้คนที่รัก โดยไม่ลืมที่จะดูแลธรรมชาติกลับคืนด้วย พวกเขาทำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพใช้ภายนอกเริ่มจาก สบู่ แชมพู บอดี้โลชั่น ที่อ่อนโยนต่อผิว ใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว และเป็นสูตรธรรมชาติใกล้เคียง 100 เปอร์เซ็นต์มากที่สุด คัดสรรวัตถุดิบที่ปลูกด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์ ในแพ็กเกจจิ้งที่ดูน่ารัก เข้าถึงง่าย สบายตา เหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ที่สำคัญสร้างความแตกต่างโดยการเริ่มทำสินค้าขนาด 1 ลิตร เพราะต้องการลดการสร้างขยะให้เป็นภาระกับสิ่งแวดล้อม
เปิดตัวถูกที่ถูกเวลา เติบโตจากโอกาสและการฟังเสียงลูกค้า
Hug เปิดตัวครั้งแรกด้วยการไปออกบูธเล็กๆ ในตลาดนัดสินค้าสุขภาพและออร์แกนิก อย่าง K Village Farmers' Market คนอื่นขายกันขวดเล็ก แต่ Hug ขายเป็นขวดลิตร ซึ่งยังไม่มีใครหาญกล้าทำในตอนนั้น ใครจะคิดว่าเพียงแค่เอาของมาวางบนโต๊ะ ในบูธที่แทบไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย แบรนด์ก็ออกแบบและพิมพ์อย่างง่ายๆ ด้วยฝีมือของน้องสาว ทว่ากลับขายได้ตั้งแต่วันแรก
“ถือว่าโชคดีมากที่วันนั้นมีคนที่คิดแบบเราอยู่ ซึ่งการไปออกงานลักษณะนี้กลุ่มลูกค้าจะเป็นคนที่รักสุขภาพแล้วก็อยู่ในเมือง มีกำลังซื้อและส่วนหนึ่งก็เป็นชาวต่างชาติที่มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว กลายเป็นว่าเราอาจจะเข้าไปถูกจุดพอดี อย่าง ต่างชาติเขาตัวใหญ่ก็ไม่อยากมาซื้อขวดเล็กๆ หรือซื้อบ่อยๆ พอเราทำเป็นไซส์ใหญ่ไปเขาก็เลยชอบ รวมถึงพวกส่วนผสมของสินค้า ซึ่ง 8 ปีที่แล้วคนไทยอาจจะยังไม่มีความรู้เรื่องนี้มากนัก แต่ว่าต่างชาติเขาจะพลิกดูส่วนประกอบอย่างละเอียด พอเห็นว่าสินค้าเราหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เขาก็ซื้อเพราะตอบโจทย์เขา เลยทำให้เรารอดมาได้ในปีแรก” เธอย้อนเล่าถึงก้าวแรก
เข้าสู่ปีที่ 2 ของการทำธุรกิจ เป็นเวลาเดียวกับที่เทรนด์ออร์แกนิกและสินค้าสุขภาพเริ่มคึกคักขึ้นในประเทศไทย ร้านจำหน่ายสินค้าสุขภาพเปิดเยอะขึ้น ทำให้แบรนด์ Hug สามารถต่อยอดไปวางขายตามร้านต่างๆ ได้ มีช่องทางขายที่ถาวรไม่ต้องอาศัยแค่การออกบูธอาทิตย์ละครั้งเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
“พอเทรนด์ออร์แกนิกและสินค้าสุขภาพเริ่มมา มีร้านค้าสุขภาพเปิดเยอะขึ้น เราก็เริ่มมีช่องทางการขายมากขึ้น ต้องถือว่าเป็นจังหวะเวลา เพราะการที่เราทำตลาดไว้ก่อนพอโอกาสมาก็เหมือนกับเราอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ทุกคนเห็นเรา และในตอนนั้นยังไม่มีคู่แข่ง มันเลยทำให้เราได้เข้าไปอยู่ในร้านสุขภาพ และกลายเป็นว่าพอเราขวดใหญ่ ลูกค้าก็อาจจะเห็นชัดและดูแตกต่าง ซึ่งมองย้อนกลับไปก็ต้องขอบคุณที่ทำอย่างนั้น เพราะถ้าเราคิดเยอะ เราอาจจะไม่กล้าทำก็ได้”
เพราะการมาก่อนเลยทำให้มีโอกาสเมื่อตลาดเปิด แต่ทว่าก็ตามมาด้วยจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ตอนแรกเรายังไม่มีคู่แข่ง แต่พอโอกาสมาคู่แข่งก็ตามมาด้วย เลยทำให้ต้องพัฒนาตัวเองและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา มองว่า Hug ไม่เพียงเป็นอาชีพที่ทำให้เลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ในอีกมุมมันยังเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเราเองด้วย เพราะว่าในแต่ละปีจะเจอโจทย์ใหม่ๆ อยู่ตลอด ได้ทำอะไรที่ไม่ซ้ำกันเลย อย่างปีแรกเราออกบูธจัดเต็ม แต่พอเข้าปีที่ 2 ก็เริ่มลงร้านค้า พอคู่แข่งเยอะขึ้น ก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรให้อยู่รอด จะไปทางไหน ลองไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศดูไหม รวมถึงการขายออนไลน์ ก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จากสิ่งเหล่านี้”
ความยั่งยืนของสินค้า สำคัญกว่าวิ่งตามกระแส
Hug พัฒนาผลิตภัณฑ์จากปัญหาที่เจอทั้งกับตัวเอง คนรอบข้าง และการฟังเสียงของลูกค้า จากสินค้าที่มีไม่กี่ตัวในตอนเริ่มต้น ก็เริ่มพัฒนาสูตรและกลิ่นที่หลากหลายขึ้น ครอบคลุมทั้งกลุ่ม สบู่ แชมพู บอดี้โลชั่น สครับขัดผิว ฯลฯ กลิ่นกุหลาบ มะลิ ตะไคร้ ข้าว และเปปเปอร์มินต์ ด้วยความที่สนใจเรื่องข้าวเป็นพิเศษ จึงต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ซีรีส์ข้าวหอมนิลสร้างความแปลกแตกต่างให้สินค้า
จนเมื่อประเทศไทยเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 พวกเขาจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ สเปรย์ทำความสะอาดและบำรุงผิวมือ ที่ใช้แอลกอฮอล์จากอ้อยออร์แกนิก ปลุกตลาดในวิกฤตขึ้นมาอีกครั้ง
“เริ่มจากตอนแรกเลยลูกค้ามาสอบถามว่าเรามีสินค้ากลุ่มนี้บ้างไหม เพราะคนที่รักสุขภาพเขาก็อยากหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี แต่เจลแอลกอฮอล์ก็ยังคงต้องใช้สารเคมีอยู่ เราเองมองว่าคนทำเจลแอลกอฮอล์เยอะแล้ว ถ้าเราทำก็ต้องไปแข่งราคากันในอนาคต ซึ่งเราไม่อยากทำ เพราะอยากจะทำสินค้าที่อยู่ได้ยาวๆ มากกว่า เลยมาคิดทำสิ่งที่ใหม่และแตกต่างจากตลาด คือสเปรย์แอลกอฮอล์ที่ไม่ใช้สารเคมี เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ มี 70 เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์จากอ้อยออร์แกนิก ซึ่งมีความเข้มข้นเหมาะสมกับการทำความสะอาด ช่วยฆ่าเชื้อและบำรุงผิวไปในตัว มีกลิ่นหอมจาก Essential Oil ธรรมชาติ ไม่เหนียวเหนอะหนะ อ่อนโยนต่อผิวเด็กและคนที่แพ้ง่าย อย่างบางคนใช้เจลแอลกอฮอล์แล้วมือแห้ง มือแตก มือพัง แต่สูตรนี้เราเน้นเลยว่าใช้แล้วมือนุ่ม ซึ่งทั้งหมดนี้เราคิดมาจากปัญหาของลูกค้า”
ภมรรัตน์ บอกว่า Hug ไม่ได้พัฒนาสินค้าตามกระแส แต่พวกเขาเลือกที่จะทำสินค้าที่สามารถขายได้ในระยะยาว ที่สำคัญต้องรักและอินในสิ่งที่ทำด้วย
“มองว่าการทำสินค้าอะไรออกมา ถ้าเราไม่อินกับมันจริงๆ ก็คงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น Hug จะไม่ได้ทำอะไรที่ตามกระแส แต่จะทำมาจากสิ่งที่เรารัก สนใจ แล้วก็อินกับมันจริงๆ อย่างสินค้าทุกตัวเราใช้เอง และให้ครอบครัวใช้จริงๆ เราเองเป็นธุรกิจเล็กๆ ไม่ได้มีเงินทุน หรือกำลังคนเยอะ เพราะฉะนั้นในการที่จะลงทุนทำอะไรหรือพัฒนาสินค้าใหม่ เราไม่ได้อยากแค่ฉวยโอกาสหรือใช้โอกาสนั้นแล้วจบไป แต่ทุกอย่างที่ลงแรง มองว่ามันคือการลงทุนและเรารักสินค้าของเราจริงๆ แล้วก็อยากจะอยู่กับมันยาวๆ จึงเลือกทำมันออกมา”
เติบโตตามกำลัง มุ่งสู่ฝันด้วยความพยายาม
วันนี้แบรนด์เล็กๆ ที่เคยเดินสายขายตามตลาดนัดสินค้าเพื่อสุขภาพเมื่อ 8 ปีก่อน มีวางขายอยู่ในร้านจำหน่ายสินค้าสุขภาพและออร์แกนิก อาทิ เลมอนฟาร์ม ห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ มีโซน HUG Refill อยู่ที่ชั้น 3 Siam Discovery และโซน Healthiful ใน ท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต มีสินค้าอยู่ในโรงแรมชื่อดัง ตลอดจนช่องทางออนไลน์ @hugorganic ล่าสุดยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่วางขายอยู่ใน KTC U SHOP อีกด้วย รวมถึงยังทำตลาดส่งออกไปในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน มาเก๊า สิงคโปร์ และเวียดนาม เป็นต้น มีรายได้เติบโตที่ปีละประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
เมื่อถามแนวคิดที่นำมาซึ่งความสำเร็จ ภมรรัตน์ บอกเราว่า เธอใช้ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นคือ รู้จักตนเอง มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และมีคุณธรรม
“สิ่งที่เราทำมันมาจากสิ่งที่เราตั้งใจ และเป็นตัวตนของเราจริงๆ แต่ว่าถ้าทำแต่สิ่งที่เราอยากทำแต่ไม่มีลูกค้า ไม่มีตลาดเลยก็คงไม่ได้ ฉะนั้นต้องมีเหตุมีผล คือมีลูกค้า มีตลาดรองรับ ทำให้ธุรกิจอยู่รอด และต้องมีภูมิคุ้มกันคือการมองระยะยาวและกระจายความเสี่ยง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเติบโตมาได้”
เมื่อถามถึงเป้าหมายของธุรกิจในอนาคต เธอบอกว่า Hug อยากเป็นแบรนด์ไทยที่คนไทยภูมิใจ และมีมาตรฐานสากลที่ต่างชาติยอมรับ สามารถเติบโตไปในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง ถามว่าเดินมาได้ไกลแค่ไหนแล้ว เธอตอบแค่ว่า ถ้านับจาก 10 ก้าวความฝัน วันนี้ก็คงเดินถึงครึ่งทางแล้ว
“เรายังพยายามทำ ทำตามกำลังของเรา ตามความตั้งใจตั้งแต่วันแรกคือการพัฒนาสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ สูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ทำจากส่วนผสมธรรมชาติใกล้เคียง 100 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุด ให้กับลูกค้าที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเรา เราพยายามสนับสนุนวัตถุดิบออร์แกนิคของประเทศไทยของเราซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โลกของเรา ที่เป็นบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุด เราไม่เคยหยุด มีแต่จะพยายามทำให้สำเร็จมากขึ้นในทุกๆ วัน” เธอย้ำในตอนท้าย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี