PHOTO : Larna House
Main Idea
ขายสินค้าแบบเดียวยังไงให้ธุรกิจยังไปรุ่ง!
- มุ่งมั่นพัฒนาทำสิ่งเดียวให้ออกมาดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องทำหลายอย่าง
- ถึงจะมีแค่อย่างเดียว แต่ก็สามารถทำให้หลากหลายได้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้
- ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จนเป็นผู้เชี่ยวชาญ
รู้จัก Lana Cake หรือเปล่า?
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า นี่คือ ชื่อที่แท้จริงของเจ้าเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสิงคโปร์ หนึ่งในเมนูสุดเลิฟของสายหวานที่ชื่นชอบช็อกโกแลตเป็นชีวิตจิตใจ แต่รู้ไหมว่านอกจากผู้บริโภคแล้ว เมืองไทยเรายังมีผู้ประกอบการที่หลงรักในรสชาติของช็อกโกแลตไม่แตกต่างกันด้วย
หนึ่งในนั้น คือ “Lanar House” ร้านเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มที่เปิดขายมานาน 20 กว่าปี จนปัจจุบันสามารถผลิตช็อกโกแลตใช้เองได้ รวมถึงคิดค้นนวัตกรรมยืดอายุการเก็บรักษาออกไปได้นานกว่า 1 ปี จากร้านเค้กเล็กๆ ที่ขายสินค้าอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ทำไมจึงสามารถแตกไลน์ธุรกิจออกไปได้ไกล แถมอยู่มาได้นานนับหลายสิบปี ความสำเร็จที่ว่ามานั้นเกิดขึ้นจากอะไร ลองไปศึกษาแนวคิดการทำธุรกิจรสเข้มข้นแบบหวานมัน เจือขมนิดๆ ได้กลิ่นอายของช็อกโกแลตกัน
ไม่ต้องทำเยอะ ทำให้ดีอย่างเดียวไปเลย
นภัสพร ผลเจริญ หนึ่งในเจ้าของร้าน Larna House เล่าที่มาของธุรกิจที่เปิดดำเนินการมากว่า 20 ปีให้ฟังว่า เป็นสูตรเค้กที่ได้มาจากคุณแม่ของสามี ซึ่งปกติมักจะทำรับประทานกันในครอบครัวในช่วงปีใหม่ของทุกปี เป็นเมนูพิเศษที่ทุกคนต่างเฝ้ารอ และมักจะหมดก่อนเมนูอื่นๆ เสมอ จึงทำให้อยากนำไปส่งต่อให้คนอื่นได้รับประทานบ้าง โดยได้เคยทดลองนำไปวางขายในร้านกาแฟตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย กระทั่งได้รับเสียงตอบรับที่ดี ภายหลังจึงได้เปิดร้านเค้กของตัวเองขึ้นมาในย่านพัฒนาการตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยขายแต่เฉพาะเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มเป็นหลัก รวมถึงผลิตภัณฑ์จากช็อกโกแลตอื่นๆ เสริมเข้ามาด้วย เหตุผลที่ใช้ชื่อว่า Larna House ก็นำมาจากชื่อ Lana Cake ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกต้องของเค้กช็อกฯ หน้านิ่มนั่นเอง
“คนส่วนใหญ่รู้ว่าทีรามิสุ คือ อะไร เค้กส้ม คือ อะไร แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ว่า Lana Cake คือ เค้กช็อกฯ หน้านิ่ม เราเลยอยากส่งเสริมให้คนได้รู้จักมากขึ้น จึงนำมาดัดแปลงตั้งเป็นชื่อแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา”
โดยเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเลือกขายแต่เค้กช็อกโกลแตหน้านิ่ม และช็อกโกแลต นภัสพรเล่าว่านอกจากความชื่นชอบส่วนตัวแล้ว ยังเชื่อว่าช็อกโกแลตเป็นรสชาติคลาสสิกเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทุกยุคทุกสมัย และยังขายได้ตลอดกาลด้วย
“ที่เราเน้นช็อกโกแลตอย่างเดียว เพราะพวกเราชอบช็อกโกแลต และรู้สึกคลาสสิกไม่มีวันตาย และคนไทยชอบอะไรที่นิ่มๆ นุ่มๆ ด้วย เค้กช็อกฯ หน้านิ่มก็เลยตอบโจทย์ ถามว่าทำไมไม่ทำเค้กหลากหลายเหมือนร้านอื่นๆ เพราะเราเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องทำหลายอย่างก็ได้ แต่ทำแค่ตัวเดียวให้อร่อยให้คนพูดถึงก็พอ ซึ่งมันก็ได้ผลจริงๆ และทำให้เราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ลูกค้าก็เป็นลูกค้าประจำที่กินตั้งแต่ยังเด็ก จนโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็ยังกินเค้กของเราอยู่และจดจำรสชาติของเราไปแล้วว่ากินเค้กช็อกโกแลตต้อง Lanar House นะ”
ต่อยอดช็อกโกแลตให้หลากหลาย
โดยนภัสพรเล่าว่า แม้จะมีสินค้าเด่นเป็นเค้กช็อกฯ หน้านิ่มเป็นหลัก แต่ทางร้านก็พยายามแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มด้วย
“เริ่มแรกเราก็ขายเป็นชิ้นๆ เหมือนร้านเค้ก ร้านกาแฟอื่นๆ แต่ตอนหลังเริ่มมีลูกค้าประจำมากขึ้น เวลาสั่งทีก็จะชอบสั่งเป็นปอนด์ใหญ่ๆ จาก 1 ปอนด์ เป็น 2-3 ปอนด์ เลยเริ่มหันมาทำเป็นเค้กวันเกิด เค้กของฝากขายเป็นปอนด์ๆ ส่งให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยนอกจากหน้าเค้กสีน้ำตาลเรียบๆ ลูกค้าสามารถเลือกให้เราตกแต่งได้ด้วย เป็นรูปตัวการ์ตูนหรือผลไม้ก็ได้ หรือถ้าบางคนต้องการช่อดอกไม้ด้วย เราก็มีบริการจัดส่งให้พร้อมกัน
นอกจากนี้ยังพยายามแตกไลน์สินค้าอย่างอื่นขึ้นมาด้วย โดยใช้ช็อกโกแลตเป็นวัตถุดิบหลัก เช่น เค้กช็อกโกแลตไวท์ เครื่องดื่มช็อกโกแลต บราวนี่ และตอนนี้เรามีทำเป็นเค้กแบบกลูเต็นฟรี ไม่ใส่นม เนย ไข่ แป้งสาลี สำหรับคนที่มีอาการแพ้ด้วย ตอนนี้หน้าร้านเรามี 2 สาขา คือ ร้านสาขาดั้งเดิมที่พัฒนาการ ซึ่งเป็นครัวกลางในการผลิตสินค้า และหน้าร้านในห้างฯ เอ็มโพเรียม นอกจากนี้ตอนนี้มีเน้นขายออนไลน์มากขึ้น ส่งไปทั่วประเทศ”
ลงให้ลึกถึงราก
การเติบโตของ Larna House ไม่ใช่แค่เพียงการเป็นตัวจริงหรือผู้เชี่ยวชาญด้านเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มเท่านั้น แต่ยังลงลึกไปถึงการผลิตวัตถุดิบที่ดีด้วย จนสามารถพัฒนาแหล่งปลูกโกโก้ในประเทศไทย และทดลองนำมาแปรรูปเป็นช็อกโกแลตได้ด้วยตนเอง จนแตกไลน์ธุรกิจใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อ “Yellow Chocolate” เป็นคลัสเตอร์และศูนย์รวมของคนรักช็อกโกแลตในเมืองไทยในมิติที่แตกต่างกันไป เพื่อพัฒนาผลิตช็อกโกแลตขึ้นในไทย
“เราเป็นคนทำเค้กช็อกโกแลตมานานกว่า 20 ปี ใช้แต่ช็อกโกแลตจากเมืองนอกมาตลอด โดยไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ ในเมืองไทยก็มีการปลูกต้นโกโก้มานานกว่า 40 – 50 ปีแล้ว จนวันหนึ่งได้ไปเดินงานหาความรู้ ถึงได้รู้ว่าที่เมืองไทยยังไม่มีการผลิตออกมาเป็นช็อกโกแลตมากเท่าไหร่นัก เป็นเพราะเรายังขาดกรรมวิธีการแปรรูปที่ดีซึ่งค่อนข้างมีความซับซ้อน ถึงจะมีผลผลิตออกมาก็ใช่ว่าจะนำมาใช้ได้เลย จากนั้นสามี (บดินทร์ เจริญพงศ์ชัย) จึงลองไปศึกษาเพิ่มเติมกับผู้เชี่ยวชาญด้านโกโก้หลายที่ทั้งในเมืองไทยและที่เปรู พอกลับมาก็จัดตั้งเป็นบริษัท Yellow Chocolate ขึ้นมา เพื่อพยายามรวบรวมกลุ่มของคนรักโกโก้ไว้ด้วยกัน ทั้งเกษตกรผู้ปลูก ผู้ผลิตช็อกโกแลตแฮนด์เมดในเมืองไทย คนรักช็อกโกแลต
เรามีแนวคิดว่าอยากส่งเสริมให้การผลิตของช็อกโกแลตในเมืองไทยเติบโตไปอย่างถูกทิศทาง ซึ่งเราเป็นผู้ใช้งาน จึงรู้ว่าต้องการอะไร ตอนนี้เราพยายามทำงานกับเกษตรกรหลายพื้นที่ที่ปลูกโกโก้ให้สามารถทำผลผลิตออกมาได้ดี โดยได้ทดลองนำมาแปรรูปเป็นช็อกโกแลตและใช้ในร้านของตัวเองด้วย ซึ่งมีคนสนใจอยากนำไปลองใช้เยอะมาก แต่ผลผลิตที่ได้ก็ถือว่ายังมีน้อยอยู่มาก ต้องพัฒนากันอีกสักระยะหนึ่ง” นภัสพรกล่าว
ทำให้นอกจากเป็นแหล่งรวมคนรักเค้กช็อกโกแลตของเมืองไทยแล้ว Larna House จึงเป็นศูนย์รวมผลิตภัณฑ์จากเหล่าช็อกโกแลตเมกเกอร์ของเมืองไทยด้วย เพราะเชื่อว่าหากจะโตได้ไกล ก็ต้องโตไปพร้อมๆ กัน
ปัญหา คือ โอกาส
นภัสพรเล่าว่า ถึงแม้รสชาติเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มของที่ร้านจะได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยค่อนข้างมาก แต่ก็ยังไม่สามารถกระจายธุรกิจออกไปได้ไกลนัก เนื่องจากมีอายุอยู่ได้เพียงแค่ 10 วัน ด้วยเหตุนี้เธอและสามีจึงได้นำปัญหาเข้าไปปรึกษานักวิจัย จนสามารถผลิตเป็นนวัตกรรมเค้กช็อกฯ หน้านิ่มที่สามารถยืดอายุการเก็บรักษาออกไปได้นานถึง 1 ปี เพิ่มช่องทางโอกาสการเติบโตของธุรกิจ
“ถึงเราจะเป็นร้านดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงมานาน แต่ก็ยังไม่สามารถกระจายออกไปได้ไกลมากกว่านี้ เพราะอายุการเก็บรักษาที่สั้น เราจึงเข้าไปปรึกษานักวิจัยที่ Innovative House ใช้เวลาพัฒนาร่วมกันอยู่ 2 ปี จนตอนนี้สามารถผลิตเค้กช็อกฯ หน้านิ่มที่เก็บรักษาไว้ในช่องฟรีซได้นานกว่า 1 ปี โดยนำออกมารับประทานแล้ว รสชาติและเนื้อสัมผัสก็ยังคงเหมือนเช่นเดิม หน้าเค้กไม่แตก ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจออกไปได้ไกลกว่าเดิม ตอนนี้เราจึงเริ่มเปิดรับตัวแทนจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศด้วย โดยไม่ต้องกลัวว่ารับไปแล้วเขาจะต้องมาสูญเสียต้นทุนในการบริหารจัดการสต๊อก เพราะสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นแล้ว นอกจากนี้ในส่วนของที่ร้านเองก็ช่วยประหยัดต้นทุน ลดการสูญเสียลงไปได้เยอะทีเดียว”
สุดท้ายนภัสพรได้ฝากแง่คิดการทำธุรกิจให้กับผู้ประกอบการด้วยว่า อย่าละทิ้งแรงบันดาลใจและความรักในการทำธุรกิจ และความจริงใจกับลูกค้า คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด
“ในการทำธุรกิจ เราไม่จำเป็นต้องทำหลายอย่างก็ได้ แต่ทำยังไงให้สิ่งที่ทำอยู่ออกมาดีที่สุดให้สามารถขายได้ทั้งลูกค้าเดิมๆ ซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็จูงใจให้คนใหม่เข้ามาได้ด้วย ถ้าเราทุกอย่างออกมาดีแล้ว คุณภาพที่เห็นก็จะส่งต่อออกไปเอง โดยที่เราไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาหรือโปรโมตอะไรเลย แค่หันกลับมามองว่าทำได้ดีแล้วหรือยัง ถ้าดีแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอะไร”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี