PHOTO : กิจจา อภิชนรจเรข
Main Idea
ถอดบทเรียนความสำเร็จของ “วัชมนฟู้ด”
- การก้าวเข้าสู่ธุรกิจยุคใหม่ด้วยการ Digital Transformation
- บุคลากรคือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัล
- เทคโนโลยีคือเครื่องมือหนึ่งของการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ
- เดินหน้าขยายธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น
- มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน
“วัชมนฟู้ด” คือผู้นำเข้าและจำหน่ายผลไม้พรีเมียมชั้นนำของประเทศมากว่า 20 ปี ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท มาวันนี้ ภายใต้การนำของ วิภาวี วัชรากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัชมนฟู้ด จำกัด กำลังผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้เพื่อให้เป็นจุดสตาร์ทของแผนการขยายขนาดธุรกิจในอนาคต
SME Thailand มีนัดพูดคุยกับ วิภาวี หญิงสาวที่มีบุคลิกปราดเปรียวคล่องแคล่ว ในวันที่ฟ้าใส เพื่อพูดคุยถึงการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในการที่จะนำพาธุรกิจไปเดินต่อไปข้างหน้า
หัวใจแห่งความสำเร็จของวัชมนฟู้ด ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเกิดจากอะไร
เกิดจากการที่เราสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองและวิธีการดำเนินธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัยได้ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ และปรับเปลี่ยนตัวเองได้เร็วไม่ว่าจะเจอกับวิกฤตใดๆ เช่น การเปิดตลาดการค้าเสรี (FTA) ไทย-จีน ทำให้ช่วงเวลานั้นบริษัทฯ ที่เน้นนำเข้าผลไม้จากจีน 100 เปอร์เซ็นต์ ประสบปัญหาอย่างมากจากการมีคู่แข่งมากขึ้น จึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ มุ่งกระจายความเสี่ยงด้วยการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น หยุดขายสินค้าที่ทำให้ขาดทุน และหันไปขายสินค้าตัวอื่นแทน มีการทำ Mix Pricing กับสินค้าตัวอื่น เพื่อให้มีรายได้เข้ามามากขึ้นจากหลายทาง และมีกำไรมากขึ้นมากกว่าการขายผลไม้นำเข้าจากจีนเพียงอย่างเดียว โดยปัจจุบันเรานำเข้าผลไม้มาจากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เกาหลี, ญี่ปุ่น, จีน, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, ชิลี, เปรู, อิสราเอล และตุรกี
อีกหนึ่งวิกฤตที่ทุกธุรกิจประสบปัญหาเหมือนกันหมด คือน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ซึ่งหลายธุรกิจต้องหยุดชะงักเป็นเวลา 2-3 เดือน แต่เรากลับมองว่าธุรกิจต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้ ดังนั้นเมื่อที่ตั้งของบริษัทถูกน้ำท่วม จึงย้ายฐานธุรกิจไปเช่าพื้นที่โซนแหลมฉบังเป็นการชั่วคราว รับออเดอร์และส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ตามปกติ ซึ่งเราถือเป็นรายเดียวในประเทศที่ยังสามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้ ทำให้จากวิกฤตกลายเป็นโอกาสของบริษัทอีกด้วยที่จากเดิมถือว่าเรายังเป็นรายใหม่ๆ ในตลาด ลูกค้ายังไม่หนาแน่นนัก หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมทุกคนเห็นศักยภาพของบริษัทก็ทำให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาหา บริษัทมีฐานลูกค้ากว้างขึ้น ชื่อเสียงดีขึ้นมากและยอดขายเติบโตขึ้น
และวิกฤตครั้งล่าสุด คือช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นอกจากเราจะสามารถออกมาตรการควบคุมดูแลพนักงานอย่างเข้มข้นแล้ว ในส่วนของธุรกิจเองได้ปรับตัวด้วยการทำเป็น Fresh Truck ขึ้นมา จับมือกับคู่ค้าอย่างเช่น แสนสิริ ขับรถออกไปจำหน่ายผลไม้ถึงหน้าโครงการบ้าน ทำให้รู้สึกได้ว่าในทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะมีโมเดลธุรกิจใหม่เกิดขึ้นเสมอเพื่อให้สามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้เสมอ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเราด้วย
วัชมนฟู้ดกำลังก้าวเข้าสู่ธุรกิจยุคใหม่ โดยการทำ Digital Transformation มีจุดเริ่มต้นอย่างไร และจะเดินตามแผนงานอย่างไร
เกิดมาจากการที่องค์กรของเราเติบโตขึ้นมาก จากสมัยก่อน Transaction ไม่ได้เยอะ การใช้คนทำงานแบบ manual ก็ยังสามารถทำได้ แต่เมื่อธุรกิจเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เป็นธุรกิจที่มียอดขาย 2,000 ล้านบาท การจะหาเสมียนที่ทำงานเก่งและสามารถใช้โปรแกรม Excel ดีๆ ก็ไม่ได้ง่ายนัก อีกเหตุผลคือ เมื่อพนักงานต้องทำงานกับข้อมูลจำนวนมหาศาล จะใช้เวลาค่อนข้างมาก ทำให้รู้สึกว่าการทำงานแบบนี้ไม่ได้ทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล การจะจ้างคนเข้ามาทำงานมากขึ้นก็จะทำให้เกิดต้นทุนมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ดังนั้น จึงคิดว่าควรต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้การทำงานของคนทำได้เร็วขึ้นและถูกต้องมากขึ้น
โดยเริ่มจากแผนกเดียวก่อนที่เขาต้องคีย์ข้อมูลมาก ๆ จึงจ้างคนมาเขียนโปรแกรมเล็ก ๆ ให้ พอได้เริ่มใช้โปรแกรมใหม่ก็ได้เห็นผลทันที เพราะช่วยลดระยะเวลาการทำงานจากที่ต้องใช้เวลาคีย์ข้อมูลนาน 3 ชั่วโมงต่อวัน ลดลงเหลือ 5 นาทีต่อวันเท่านั้น เมื่อได้ผลลัพธ์แบบนี้แล้ว ก็มาคิดต่อว่าหากต้องเขียนโปรแกรมขึ้นมาสำหรับแต่ละแผนกอาจจะยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์นัก ทำให้ต้องการโซลูชันที่เป็น One synchronize data ที่จะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานของทุกแผนกภายในบริษัทได้อย่างครบวงจร จึงเริ่มมองหาซอฟท์แวร์ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ และมาสรุปที่การเลือกใช้ ERP (Enterprise Resource Planning) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มาช่วยในการวางแผนและจัดการถังข้อมูลขององค์กรอย่างหนึ่ง โดยระหว่างนี้ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาระบบและคาดว่าจะสามารถเริ่มนำเข้ามาใช้ได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564
ได้ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมทักษะของพนักงานอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่เริ่มต้นที่ตัดสินใจว่าจะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริษัทได้เริ่มทำเรื่อง Culture Transformation ไปพร้อมๆ กันด้วย เราพยายามสร้าง Core Value ให้กับพนักงานในองค์กรให้เป็นคนที่สามารถเปิดรับกับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร
ประกอบด้วย 5 อย่างคือ F R E S H
- Forward Thinking แนวคิดการอยากพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้า และพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า
- Respect ในอนาคตจะต้องทำงานในลักษณะมีความร่วมมือกันมากขึ้น การเคารพซึ่งกันและกันจึงมีความสำคัญ
- Endless Development การใช้เทคโนโลยีใหม่หรือโปแกรมใหม่ ๆ ก็เหมือนกับการได้พัฒนาตัวเองให้ได้ทำได้ใช้สิ่งที่ยากขึ้น แต่สามารถทำให้ดีขึ้นได้
- Sharing การแบ่งปันซึ่งกันและกัน
- Honesty Integrity มีความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องเงินเท่านั้น แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีความจริงใจ กล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น
โดย Core Value เป็นเหมือนกับการวางรากฐานให้กับพนักงานทุกคนให้รู้สึกว่าองค์กรเรามีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้ช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากวิธีการทำงานแบบเดิมมาเป็นการใช้เทคโนโลยีใหม่จะเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่ ระบบ ERP จะเป็นเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่งที่พนักงานทุกคนจะได้ใช้ร่วมกัน ขณะเดียวกัน เราปลูกฝังพนักงานว่าทุกคนเก่งขึ้นได้ ก้าวหน้าได้ และเติบโตได้ โดยมุ่งส่งเสริมการพัฒนาทักษะความรู้เฉพาะทางแก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทักษะด้านเทคโนโลยี และเมื่อต้องทำความเข้าใจพวกเขาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้จึงไม่เกิดการต่อต้านใดๆ
ขอให้เล่าเรื่อง Fresh Living ว่าคืออะไรและมีความเป็นมาอย่างไร
เดิมวัชมนฟู้ด เน้นขายสินค้าแบบโฮลเซลล์ จะมีออกร้านบ้างตามงานแฟร์ต่างๆ เท่านั้น แต่คิดว่าการทำธุรกิจในยุคใหม่นี้ หากเราไม่มีช่องทางออนไลน์เลยอาจจะทำให้ตัวเองเสียโอกาสดีๆ ไป จึงตัดสินใจจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาคือ Fresh Living ซึ่งจะเป็น Market Place ให้คนมาซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางที่เราจัดให้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้น จึงคาดว่าจะใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะเห็นโมเดลที่มีความชัดเจนมากขึ้น
โดย Fresh Living จะเป็น Food Market Place ที่เข้ามาช่วยซัพพลายเออร์กลุ่มสินค้าอาหาร ที่แม้จะมีช่องทางออนไลน์อยู่บ้าง แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือความเชี่ยวชาญการขนส่งสำหรับสินค้าอาหารและของสด ขณะเดียวกัน ยังมีผู้นำเข้ารายอื่นๆ ที่เขาสามารถนำเข้าสินค้ามาได้แต่ทำตลาดไม่เก่ง เราก็จะเข้าไปร่วมมือกับคนกลุ่มนี้ ให้นำสินค้ามาวางขายในมาร์เก็ตเพลสที่เราจัดไว้ให้ จะทำให้สินค้าที่จำหน่ายจะมีความหลากหลาย เน้นเป็นสินค้าอาหาร แม้ปัจจุบันสินค้าที่แอคทีฟมากหน่อยจะเป็นกลุ่มผลไม้ แต่เป้าหมายของเราคือการทำแพลตฟอร์มให้เป็นทั้งคอมมูนิตี้ และมาร์เก็ตเพลส ที่เป็นแหล่งรวบรวมของกิน และรวบรวมคนที่มีความสนใจในเรื่องอาหารการกินเข้ามารวมอยู่ในที่เดียวกัน แบ่งปันข้อมูลกันและกัน และอาจแบ่งปันไปได้ถึงขั้นเมนูอาหารและวิธีการทำอาหารต่างๆ
เป้าหมายของวัชมนฟู้ดในการทำ digital transformation คืออะไร
เป้าหมายในระยะสั้น คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เราสามารถได้ข้อมูลที่เร็วขึ้น และทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น เฉียบคมมากขึ้น และในที่สุดก็คือจะทำให้เรามีกำไรเติบโตขึ้น โดยภายในปีหน้า เมื่อนำระบบ ERP มาใช้ จะมาช่วยผลักดันการเติบโตในเชิงของรายได้ให้เติบโตได้อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ ในปีแรก และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ การที่กำไรโตขึ้นมากกว่ารายได้นั้น ก็เพราะว่าเดิมที เมื่อขายผลไม้ไม่ทันก็จะต้องขายทิ้งและขายลดราคาถึง 30-50 เปอร์เซ็นต์ แต่เครื่องมือใหม่นี้จะเข้าจะมาช่วยเราลดในเรื่องความสูญเสียลง ซึ่งหากลดลงไปได้ กำไรก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้น ก็จะเป็นตรวจสอบและวัดผลตัวระบบ ERP อย่างต่อเนื่อง
ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือการสร้างให้เป็นองค์กรที่มั่นคง ยั่งยืน เป็นองค์กร 100 ปี โดยมีผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาช่วยบริหารจัดการ
ทราบว่ากำลังขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ช่วยขยายความในจุดนี้
โจทย์ของเราคือ การทำธุรกิจให้มีความหลากหลายมากขึ้น มีหลากหลายช่องทาง ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ซึ่งช่องทางออฟไลน์มีอยู่แล้ว ส่วนออนไลน์ก็เริ่มแล้ว คือกำลังปั้น Fresh Living แต่ยังไม่แข็งแรงมากนัก คาดว่าเมื่อแข็งแรงดีแล้ว ก็จะทำให้มีกลุ่มลูกค้าออนไลน์มีมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ในช่วงการขยายธุรกิจใหม่ โดยตามแผนคือ ต้นปีหน้าจะออกไปจัดตั้งบริษัทใหม่ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นบริษัทร่วมทุน จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าผลไม้ชนิดที่เรามีความเชี่ยวชาญมากอยู่แล้ว ใน 11 ประเทศในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก ตั้งแต่ ญี่ปุ่น เกาหลี ลงมาจนถึงออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพราะฉะนั้น เมื่อธุรกิจในประเทศมีความมั่นคงแข็งแรงดี มีมืออาชีพที่เป็นคนเก่ง คนมีความสามารถเข้ามาช่วยบริหาร ช่วยตัดสินใจ และช่วยแบ่งเบางานได้มากขึ้นแล้ว จะทำให้ตัวเองสามารถไปโฟกัสกับการขยายธุรกิจอื่นๆ ได้มากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับกลุ่มธุรกิจของวัชมนฟู้ดในอนาคตต่อไป
เห็นได้ชัดเจนว่าการเลือกลงทุนกับเทคโนโลยีของ “วัชมนฟู้ด” เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจยุคใหม่ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการยกมาตรฐานการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต และเพื่อเป้าหมายการเป็นธุรกิจยั่งยืนอีกด้วย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี