PHOTO : BEKERGROUP BROWNIES
Main Idea
คมคิดธุรกิจในแบบผู้จัดละคร “เจ็ท-ณัฐพงศ์”
- ทำธุรกิจต้องเริ่มจากความชอบ แล้วเราจะมีความสุขที่ได้ทำ
- อย่าไปกลัวปัญหา หรือมองแต่ปัญหา จนไม่ได้เริ่มต้นทำอะไร
- ต้องไม่กลัวความล้มเหลว ถ้าล้มเหลวก็แค่เริ่มใหม่
- การหวงสูตรจะทำให้ไม่โต ต้องเหนื่อยน้อยที่สุดและได้เงินเยอะที่สุด
- ทำธุรกิจต้องพราวด์ในสินค้าตัวเอง
- อย่าไปกลัวที่จะเริ่มต้น เพราะการนั่งอยู่เฉยๆ ไม่เคยทำให้ใครรวย
“BEKERGROUP BROWNIES” คือหนึ่งในแบรนด์บราวนี่สุดฮอตบนโลกออนไลน์ ที่วันนี้กำลังแตกไลน์สู่น้ำพริกหมูหยองอบกรอบ ซึ่งมีเป้าหมายคือส่งออกตลาดจีน เป็นธุรกิจที่เริ่มจากงานอดิเรกและความชอบของ “เจ็ท-ณัฐพงศ์ เหมือนประสิทธิเวช” ผู้จัดละครคนดัง แห่งค่ายเมกเกอร์ กรุ๊ป วันที่ได้เจอกันเราไม่ได้ชวนคุยถึงละครเรื่องใหม่ แต่ชวนมาแลกเปลี่ยนมุมคิดการเป็นผู้ประกอบการของผู้จัดละคร ว่าจะโรแมนติก ดราม่าหรือบู๊เด็ดเผ็ดมันเหมือนละครที่ทำแค่ไหน เขาคิดและทำแบบไหน และผลลัพธ์จากความคิดนั้นนำมาสู่อะไร มาฟังคำตอบไปพร้อมกัน
SME Thailand : ทำไมถึงเลือกทำ BEKERGROUP แล้วทำไมต้องเป็นบราวนี่
เจ็ท-ณัฐพงศ์ : จริงๆ ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันต้องเป็นธุรกิจหรือประสบความสำเร็จอะไรหรอก แค่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ผมชอบ และเป็น Passion ที่ผมอยากทำ
จริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบทำอาหาร บ้านผมเองเป็นคนที่ทำอาหารกันทุกคนแล้วก็มีความสุขกับการทำอาหารทานกัน เลยเริ่มจากอาหารนี่แหละ ก่อนหน้านี้ผมทำขนมไม่เป็นเลย ทำแต่ของคาวมาตลอด วันหนึ่งอยากลองทำขนมขึ้นมา ก็ไม่ได้มีอะไรยากที่บ้านผมมีเตาอบอยู่แล้ว เครื่องนี่นั่นก็พอมีอยู่ พอคิดว่าทำขนมอะไรดีที่ง่ายๆ ในตอนเริ่มต้น คำตอบก็คือบราวนี่เพราะทำง่ายที่สุด ถามว่าทำยังไงก็ลองเปิดหาสูตรจาก YouTube ดู ไล่ดูอยู่เกือบ 10 คลิปได้ พบขั้นตอนที่มันเหมือนกันก็จดไว้ ดูว่าอุณหภูมิเขาใช้กันเท่าไหร่ ทำแบบไหน จากนั้นก็มาลองทำดู
ผมว่ามันคือความชอบมากกว่า เป็นสิ่งที่เราชอบทำเป็นงานอดิเรก อย่างงานละครผมก็ชอบนะ แต่พอเวลาเครียดมากๆ พักจากละครผมก็มานั่งตีบราวนี่ มานั่งอบขนม กลิ่นช็อกโกแลตที่หอมตลบอบอวลอยู่ในบ้านมันบำบัดมาก (Therapy) แล้วมันทำให้ผมมีสมาธิอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หยุดคิดเรื่องอื่น มันเป็น Passion อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุข ผมมองว่า การจะเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรสักอย่างมันต้องเริ่มจากสิ่งที่เราชอบจริงๆ แล้วเราจะมีความสุขที่ได้ทำมัน
SME Thailand : ทำขนมกับทำละครอะไรยากง่ายกว่ากัน แล้วเคยเจอเรื่องเฟลๆ ระหว่างทำบ้างไหม
เจ็ท-ณัฐพงศ์ : ผมไม่ค่อยเฟลนะ เพราะทำละครเจอปัญหาเยอะกว่านี้มาก ละครรายละเอียดมันเยอะ ต้องเกี่ยวข้องกับคนเยอะ เพราะฉะนั้นการที่ผมจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ผมทำใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอปัญหาแน่นอน ผมเป็นคนไม่ได้กลัวปัญหา เพราะคิดว่าเจอปัญหาเมื่อไหร่เราก็แค่แก้ไปเท่านั้นเอง
ผมเคยมีจุดที่ไม่ได้เริ่มต้นสักทีเพราะว่ามองแต่ปัญหา ดูปัญหาก่อนว่าถ้าเราเริ่มทำจะต้องเจออะไรบ้าง สุดท้ายก็ถอยกลับมาอยู่ที่เดิมในจุดที่ไม่ได้เริ่มต้นทำอะไรเลย ฉะนั้นโดยส่วนตัวผมมองว่า ปัญหาเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้เรารู้ว่าปัญหาคืออะไรแล้วเราก็เตรียมแก้ปัญหาไว้ตั้งแต่ตอนแรก นี่คือสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ
SME Thailand : ถ้าให้เทียบกับละครสักเรื่อง การทำธุรกิจของคุณเจ็ทเปรียบได้กับละครแนวไหน บู๊เด็ดเผ็ดมัน หรือดราม่า
เจ็ท-ณัฐพงศ์ : สำหรับผมมันไม่ใช่ดราม่าแน่นอน ผมทำเพราะเป็น Passion เป็นรายได้ทางที่สอง ฉะนั้นเวลาเจออะไรก็เลยไม่ได้ดราม่าไปกับมัน แต่ถามว่าคาดหวังอะไรกับธุรกิจนี้ ในส่วนตัวบราวนี่เอง มองว่ามันคงไม่สามารถโตไปกว่านี้ได้เพราะเราทำเป็นโฮมเมดมากๆ แต่ผมมีสินค้าอีกตัวคือ น้ำพริกหมูหยองอบกรอบ ที่เชื่อว่าจะโตไปได้อีกไกล เพราะผมทำสูตรเสร็จผมสามารถส่งเข้าโรงงาน OEM โดยเราไม่ต้องมานั่งผลิตเอง เพราะฉะนั้นผมจะไม่เสียเวลาในการที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นเลย คราวนี้ผมก็แค่มาคิดแพ็กเกจจิ้งสวยๆ คิดเรื่องการขายว่าจะขายอย่างไร จะเติบโต จะส่งเข้าห้างฯ และส่งออกไปต่างประเทศได้อย่างไร ผมจะมีเวลามาโฟกัสเรื่องพวกนี้ได้เต็มที่
ผมมองว่าการทำธุรกิจยุคนี้ เราไม่ต้องลงทุนถึงขนาดที่จะต้องทำเองทุกอย่างเองให้มันเหนื่อย ผมว่าวิธีคิดตอนนี้คือการที่เราจะทำอย่างไรให้เราเหนื่อยน้อยที่สุดและได้เงินเยอะที่สุด ไม่ใช่การเอาตัวเองลงไปเหนื่อย 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ได้เงิน 100 เปอร์เซ็นต์แค่นั้น แต่คุณอาจจะเหนื่อยแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ได้เงินน้อยลงมาหน่อย แต่ผมยังสามารถทำละครได้อยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรทุกอย่างตั้งแต่ต้น เราแค่หาสารตั้งต้นมาเท่านั้นเอง อย่างสมมติเราอยากทำไส้กรอก ก็ไปหาโรงงานที่เขาทำไส้กรอกอยู่แล้ว แล้วไปพัฒนาสูตรร่วมกับเขา เขาพร้อมผลิตให้เรา โดยที่เราไม่ต้องมาทำทุกอย่างเองหมด
SME Thailand : SME บางคนกลัวมากกับการที่เอาสูตรไปให้โรงงาน กลัวว่าวันหนึ่งจะขายดีแล้วถูกโรงงานก๊อบไปผลิตสินค้ามาแข่ง คุณเจ็ทมองเรื่องนี้อย่างไร
เจ็ท-ณัฐพงศ์ : เมื่อก่อนผมเคยคิดนะ และที่บ้านก็เคยคิดอย่างนั้น มีหลายอันที่เราหวงสูตร แต่การหวงสูตรทำให้เราไม่โต เรื่องนี้มันจริงนะ เพราะถ้าสมมุติเราไม่ยอมเอาสูตรเข้าไปที่โรงงาน เราผลิตปกติได้อยู่ร้อยนึง เราก็จะขายได้ร้อยนึงอยู่แค่นั้น แต่เมื่อไหร่ที่ Demand หรือความต้องการมันคือพันนึง แต่เรายังคงผลิตได้ร้อยนึงเราเสียโอกาสแน่นอน แล้วทำไมเราถึงไม่คิดด้วยวิธีคิดใหม่ล่ะ เอาสูตรไปให้เขาผลิตก็ได้นี่
ถามว่าแล้วถ้าเขาขโมยสูตรล่ะ ถ้าโรงงานเลียนแบบผลิตภัณฑ์เราแล้วไปผลิตแข่งกับเรา ผมมองว่า ถ้าเราทำได้ดีและขายได้ดี โรงงานเขายินดีที่จะผลิตให้เราอยู่แล้ว เพราะมันวินทั้งคู่ เขาก็ได้เราก็ได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมาทำแข่งกับเราเลย
อย่างในช่วงโควิดคนมาขายออนไลน์กันเยอะมาก คนทำบราวนี่มีเยอะมาก แต่มองว่ามันดีนะเพราะในมุมผู้บริโภคคือเขามีทางเลือกมากขึ้น อย่างผมเองมีเพื่อนๆ ที่ขายบราวนี่อยู่ประมาณ 10 เจ้า แล้วเราก็ช่วยกันโปรโมทเราไม่กั๊กกันด้วยซ้ำว่าเพื่อนขายบราวนี่แล้วเราก็ขายบราวนี่เหมือนกัน แต่เราช่วยกันขาย ผมเชื่อว่าถ้าของเราดี คนติดใจของเรา เขาก็สั่งของเราเพิ่มเอง เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลยคือ คนขายต้องพราวด์ (Proud) ในสินค้าของตัวเอง และมั่นใจว่าลูกค้าจะกลับมากินของเรา ฉะนั้นเราจะไม่กลัวคู่แข่ง และไม่กลัวที่จะโปรโมทให้คนอื่น ทำไปเถอะถ้ามั่นใจว่าของเราดีจริง
SME Thailand : อยากเห็นธุรกิจเติบโตไปได้ไกลแค่ไหน
เจ็ท-ณัฐพงศ์ : ผมอยากขยายไลน์น้ำพริกให้ประสบความสำเร็จแล้วส่งออกไปต่างประเทศให้ได้ ซึ่งมองไปที่ตลาดจีนเป็นประเทศแรก เพราะหมูหยองไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวสำหรับคนจีนเลย และน้ำพริกหมูหยองเป็นของที่ทานง่าย คลุกข้าวก็ได้ แล้วก็มีหลายรสชาติ ไม่ใช่แค่หมูหยอง แต่มันจะมีพริกมีกระเทียมมีความจัดจ้านเพิ่มขึ้นมา เป็นสูตรแบบไทยๆ ซึ่งตอนนี้ตัวหมูหยองเราเข้าโรงงาน OEM เรียบร้อยแล้ว อยากผลิตเยอะแค่ไหนก็ทำได้ แต่อยู่ที่ความต้องการและตลาดที่เราจะทำได้ ตอนนี้อาจยังติดเรื่องโควิคอยู่แต่หลังจากนี้เชื่อว่าจะสามารถส่งออกได้ โดยเรายังใช้ชื่อ BEKERGROUP เหมือนตัวบราวนี่ ถามว่าทำไมไม่ใช้แบรนด์อื่น เพราะผมมีความรู้สึกว่า เราทำแบรนด์บราวนี่จนมีความน่าเชื่อถือของลูกค้าในประเทศในระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่น้ำพริกหมูหยองเอง ก็เป็นการอบซึ่งก็คือการ Bake เหมือนกัน ยังไม่หนีไปไหน ก็เลยใช้ชื่อนี้
SME Thailand : คุณบอกว่าไม่กลัวปัญหา แล้วกลัวความล้มเหลวบ้างไหม ถ้าสิ่งที่ฝันมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เจ็ท-ณัฐพงศ์ : ผมไม่เคยกลัวความล้มเหลว ถ้าล้มเหลวก็แค่เริ่มใหม่แค่นั้นเอง อย่างแรกเลยผมไม่ได้เริ่มต้นจากการคิดใหญ่ขนาดที่จะส่งออกไปจีนตั้งแต่แรก แต่ผมเริ่มจากทำแล้วขายได้อยู่ในประเทศก่อน ออเดอร์ผมไม่เคยเหลือ ไม่เคยเสียสะต๊อก ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าก่อนที่จะสั่งผลิตเยอะๆ ออเดอร์ของเรามีมากแค่ไหน ไม่ใช่สั่งมาทิ้ง หลายคนอาจจะมองว่ายิ่งสั่งเยอะก็จะยิ่งถูก แต่ถ้าถูกแล้วทิ้งมันก็ไม่คุ้ม จริงไหม ผมอาจจะยอมได้กำไรน้อยหน่อย แต่ขายหมดทุกครั้ง ผมเชื่อว่า การทำธุรกิจต้องไม่วู่วาม บางคนมองว่าผลิตเล็กแค่นี้ก็ตายสิ เหลือกำไรอยู่นิดเดียวโน่นนี่นั่น แต่เขาลืมมองไปว่า ถ้าสมมุติขายไม่หมดแล้วทิ้งมันจะเป็นยังไง ฉะนั้นผมจะเริ่มจากมั่นใจก่อน เห็นโอกาสก่อนแล้วลงมือทำ ถ้าทำดีแล้วยังล้มเหลวก็ไม่เป็นไร ก็แค่เริ่มต้นใหม่
ผมเรียนมาทางด้านภาพยนตร์ ฉะนั้นเรื่องธุรกิจผมอาจไม่ได้มีหัวมาทางด้านนี้ แต่มองว่า ผมไม่ได้เสียเปรียบใคร เด็กทุกคนที่ทำธุรกิจก็คือเริ่มต้นจากศูนย์เท่ากันหมด ผมเองไม่ได้เริ่มจากศูนย์เสียทีเดียวด้วยซ้ำ เพราะว่าผมมีชื่อของความเป็นผู้จัดละคร ฉะนั้นถ้าเราเริ่มต้นทำอะไร และทำมันได้ดีจริงๆ ธุรกิจก็ต้องมีโอกาส
เพียงแต่การจะเริ่มทำอะไร ควรต้อง Research สักนิด หาข้อมูลก่อนเยอะๆ ว่าในตลาดมีอะไรอยู่บ้าง แล้วเราชอบตรงไหน เราอยากทำอะไร จากนั้นลองไปซื้อของคนอื่นมาดูก่อน แล้วไปดูจุดด้อยจุดเด่นของเขา รู้แล้วก็ไปดูว่า สิ่งที่เราจะขายได้และยังไม่มีในตลาดคืออะไร ก็ให้ทำในสิ่งนั้น ถ้าเราทำได้ผมเชื่อว่าธุรกิจมันไปได้แน่นอน ที่สำคัญ อย่าไปกลัวขอให้เริ่มต้น เพราะว่าการนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำให้ใครรวยแน่นอน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี