Main Idea
- ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 หลายธุรกิจต่างประสบปัญหาด้านยอดขายที่ลดลง ทำให้ต้องมองหาจุดแข็งเพื่อสร้างโอกาสใหม่ที่จะผลักดันให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีแก่นของธุรกิจคือ อาหาร จะมาร่วมแชร์มุมมองการปรับตัว และการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ภายใต้การบริหารของผู้บริหารรุ่นใหม่ ทายาทรุ่นที่ 2 ที่เข้ามารับไม้ต่อจากรุ่นพ่อ
- ข้อดีของการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ดีกว่า แต่การเป็น SME จะสามารถปรับตัวได้คล่องตัวมากกว่า จึงมีคำแนะนำจากรุ่นพี่ที่เคยเป็น SME มาก่อนว่า ในวิกฤต SME ควรต้องเริ่มต้นแก้ปัญหาจากจุดใด และจะสามารถสร้างโอกาสในวิกฤตขึ้นมาได้อย่า
การมองหาโอกาสท่ามกลางวิกฤตในยุคโควิด-19 นี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่สำหรับ บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) สามารถใช้จังหวะนี้ตรวจเช็กสุขภาพธุรกิจของตนเอง พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
“จรัญพจน์ รุจิราโสภณ” CEO (Processed Foods & Support Function) บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในสองทายาทธุรกิจที่เข้ามารับไม้ต่อจากรุ่นพ่อ “เจริญ รุจิราโสภณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)
เขาเล่าถึงผลกระทบในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ว่าช่วงนั้นยอดขายสินค้าของบริษัทฯ ตกลงไปมาก เช่น ข้าวกล่องแช่แข็ง มียอดขายลดลงเนื่องจากร้านสะดวกซื้อเปิดได้ไม่เกิน 5 ทุ่ม ส่วนธุรกิจร้านอาหารไม่สามารถเปิดบริการให้ลูกค้านั่งในร้านได้ ทำให้ยอดขายของร้านอาหารลดลงไปเช่นกัน แต่ลดลงไปไม่มากเพราะมียอดขายจากธุรกิจเดลิเวอรี่เข้ามาทดแทน
ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารพื้นเมือง อาทิ แหนม หมูยอ หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ใส้กรอกอีสาน พบว่ามียอดขายเติบโตขึ้นในช่วง 1 เดือนแรกที่ผู้บริโภคต้องการซื้อของกักตุนเพื่อใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้าน จนมาถึงช่วงเดือนพฤษภาคม สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
การปรับตัวในท่ามกลางวิกฤติเหล่านั้น ส.ขอนแก่นฯ ได้วางแนวทางไว้ 3 ขั้นตอน คือ ออกมาตรการควบคุมการติดเชื้อโควิดภายในองค์กรอย่างเคร่งครัด ถัดมาคือการแก้ปัญหายอดขายสินค้าที่ลดลงไป โดยให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ และธุรกิจเดลิเวอรี่มากขึ้น และสุดท้าย คือการมองถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต
“ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่เราสร้างมา ทำให้โชคดีมากที่พนักงานทุกคนตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงระดับบริหารให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้น ขณะเดียวกันการมีทีมงานที่ดี พร้อมรับกับความท้าทายในการแก้ปัญหา เมื่อมีการประชุมระดมสมอง และผมบอกความจริงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้รับรู้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันช่วยและพยายามหาโซลูชั่นเข้ามาเพื่อเพิ่มยอดขาย
กลายเป็นว่าเราได้มีโอกาสตรวจสุขภาพธุรกิจไปในตัวด้วยว่า 8-9 ธุรกิจที่บริษัทฯ มีนั้น มีความแข็งแรงหรือไม่ และใช้โอกาสนี้ในการสะสางปัญหาทุกอย่างตั้งแต่ต้นตอ และบอกถึงความคาดหวังของเราไป ซึ่งทุกคนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทำให้ตอนนี้ธุรกิจสามารถ recover กลับมาได้ ต้องยอมรับว่าปีนี้อาจจะไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าปีหน้าจะกลับคืนมาปกติได้อย่างสมบูรณ์” จรัญพจน์ กล่าว
เขาบอกอีกว่า เมื่อห้ามเลือดและแก้ปัญหาได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำจากนี้คือการมองไปในอนาคต โดยมองหาว่า New Normal จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นได้สร้างความทุกข์ให้กับผู้คน แต่เราคิดว่าน่าจะมีโอกาสทางธุรกิจมหาศาล และเราก็มองเห็นโอกาสในวิกฤติครั้งนี้ โดยมองเห็นเทรนด์ใหญ่ใน 3 เรื่อง
เรื่องแรกคือทุกคนจะหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่ต้องเน้นสะอาดและปลอดภัย บริษัทฯ จะมุ่งยกระดับและพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ในอนาคตนี้ให้มากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นจะครอบคลุมเทรนด์หลัก ๆ 6 ด้าน ประกอบด้วย อร่อย, ดีต่อสุขภาพ, สะดวกสบายมากขึ้น, ดีไซน์สวยงาม, ราคาเข้าถึงง่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เรื่องที่สองคือการให้ความสำคัญกับธุรกิจออนไลน์ แม้ว่า ส.ขอนแก่นจะเติบโตมากจากออฟไลน์ แต่ในช่วงโควิด พบว่ามีฐานลูกค้าใหม่จากตลาดออนไลน์ที่เราจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้พัฒนาต่อได้ อย่างไรก็ดี มองว่าธุรกิจอาหารยังต้องให้ความสำคัญกับตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป และเทรนด์สุดท้ายที่เรามองเห็น จะเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในระดับประเทศ ที่คาดการณ์ถึงอัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้นนับจากนี้ เราจึงกำลังพัฒนาโมเดลฟู้ดทรัค ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ส่วนนี้ด้วย
“ตอนนี้เราพยายามหา นิว เอสเคิร์ฟ ซึ่งก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจฟู้ดทรัค ให้เป็นระบบแฟรนไชส์ที่ทุกคนสามารถใช้เงินลงทุนไม่สูงนักแต่สามารถคืนทุนได้เร็ว เพราะจะเป็นธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้ทุกมื้ออาหาร” จรัญพจน์ กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากจะได้เห็นมุมมองและแนวทางการปรับตัวของธุรกิจอาหารรายใหญ่อย่าง ส.ขอนแก่นฯ แล้ว ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยเป็นเอสเอ็มอีมาก่อน จนสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้นั้น จรัญพจน์ ชี้จุดแตกต่างว่า ข้อดีของการเป็นบริษัทจดทะเบียนคือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดีกว่า และมีโอกาสได้คนดีและเก่งเข้ามาร่วมงาน แต่หากมองถึงความคล่องตัวในการปรับตัวนั้น เอสเอ็มอีมีจุดแข็งในเรื่องของความคล่องตัวสูงกว่า
“ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับเอสเอ็มอี คือการโฟกัสในธุรกิจของตนเองให้ชัดเจน เริ่มจากการมองหาตลาดเล็ก ๆ ก่อนขยายออกไปให้เป็นแมสมากขึ้น และในท่ามกลางวิกฤตินี้ เอสเอ็มอีควรสำรวจตัวเองให้มาก ต้องมองหาธุรกิจที่เรารักให้ได้มากจริง ๆ เพื่อเราจะได้มีภูมิต้านทานเวลาเกิดปัญหาและจะมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก” เขากล่าวทิ้งท้าย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี