“Sprinkle” โรงงานน้ำดื่มที่เปลี่ยนมือมา 6 ครั้ง แต่มาปัง! เพราะดีไซน์

TEXT : นิตยา สุเรียมมา





Main Idea
 
  • “สปริงเคิล” น้ำดื่มสุดครีเอทีฟ ที่ชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ออกมาเซอร์ไพรส์ได้อยู่เสมอ จากการออกคอลเลคชันต่างๆ
 
  • ใครจะไปคิดว่าน้ำดื่มดังกล่าวนั้น จริงๆ แล้ว คือ แบรนด์น้ำถังใสเจ้าแรกของไทย อีกทั้งยังเป็นผู้พลิกฟื้นโรงงานผลิตน้ำดื่มที่เคยเกือบเจ๊ง และเปลี่ยนมือมาแล้วกว่า 6 ครั้งด้วย
 


              
     มีคนเคยกล่าวไว้ว่า เรื่องมหัศจรรย์มักเกิดขึ้นได้เสมอในธุรกิจ ขอเพียงไม่หยุดคิด หยุดค้น ลงมือทำ และแสวงหาหนทางใหม่ๆ
              

     แม้อาจจะมีเพียงธุรกิจน้อยนักที่จะทำได้ แต่ก็ใช่จะไม่มีเลย และหนึ่งในตัวอย่างที่สามารถทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ดี แถมมีแนวโน้มว่าจะไปได้ไกลหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “Sprinkle” น้ำดื่มสุดครีเอทีฟรวมอยู่ด้วยแน่นอน ก็ใครจะไปเชื่อจากธุรกิจโรงงานน้ำดื่มที่เกือบเจ๊ง ถูกเปลี่ยนมือมากว่า 6 ครั้งแล้ว จะสามารถพลิกฟื้นขึ้นมากลายเป็นแบรนด์น้ำดื่มที่นิยมของคนรุ่นใหม่ได้อย่างทุกวันนี้  




 
  • เปลี่ยนถังขุ่น ให้เป็นถังใส สร้างมาตรฐานใหม่น้ำบรรจุถัง
 
     น้ำดื่มสปริงเคิล ผลิตโดยบริษัท เอ็ม วอเตอร์ จำกัด ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจมาจากบริษัทนำเข้านมผง ก่อนจะแตกไลน์มาเทกโอเวอร์โรงงานผลิตน้ำดื่มสปริงเคิลเมื่อปี 2528 ซึ่งเคยถูกเปลี่ยนมือมาแล้วกว่า 6 ครั้ง


     โดยแบรนด์น้ำดื่มสปริงเคิล เริ่มต้นจากกิจการน้ำถังที่จัดส่งตามบ้านและออฟฟิศ แต่เพื่อต้องการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ซึ่งในขณะนั้นเป็นน้ำถังขุ่น จึงได้มีการเปลี่ยนจากใช้ถังขุ่นมาเป็นถังใสแทน ซึ่งเป็นการพลิกเปลี่ยนภาพลักษณ์วงการน้ำถังไปจากเดิม แถมยังกลายเป็นแบรนด์ผู้ผลิตน้ำถังใสรายแรกในไทยด้วย





     นอกจากรูปลักษณ์ของถังใหม่ที่ใสสะอาด มองเห็นได้ทะลุถึงข้างใน สปริงเคิลยังมีการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดน้ำถังไทยด้วย โดยเน้นชูเรื่องกระบวนการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย มีการจัดทำระบบสมาชิก และระบบจัดส่งภายใต้ชื่อแบรนด์ขึ้นมา ไปถึงการจัดทำโฆษณาออกสื่อต่างๆ จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้น จนกลายเป็นแบรนด์น้ำบรรจุถังพรีเมียมในใจของผู้บริโภคชาวไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


    อีกทั้งช่วงนั้นแบรนด์น้ำดื่มเจ้าตลาดอย่างโพลาริส (Polaris) ได้ปิดกิจการไป จึงทำให้ได้ฐานลูกค้าเก่าจากแบรนด์โพลาริสมาเพิ่ม จนทำให้กิจการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ลบอาถรรพ์โรงงานผลิตน้ำดื่มเดิมที่เคยถูกเปลี่ยนมือมาแล้วหลายครั้ง
 



 
  • วิกฤตที่มาพร้อมโอกาสใหม่
 
     ซึ่งจะว่าไปแล้วการเติบโตและเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคของสปริงเคิล ก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ด้วยดี แต่เพราะการจากไปของแบรนด์โพลาริสที่เคยเป็นเจ้าตลาดใหญ่ ทำให้เกิดพื้นที่ว่างในการแข่งขัน จึงทำให้แบรนด์คู่แข่งยักษ์ใหญ่ถึง 3 รายหันลงมาเล่นในตลาดด้วยพร้อมกัน ได้แก่ แบรนด์ช้าง แบรนด์สิงห์ และแบรนด์เนสท์เล่


     จากที่เป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตรายเล็กๆ แม้จะลงทำตลาดมาก่อน แต่ก็คงยากที่สปริงเคิลจะสามารถอยู่ต่อไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งเมื่อถึงทางแยกนี้วิธีคิดแก้เกมธุรกิจที่สปริงเคิลนำมาใช้ก็คือ การรีแบรนด์ดิ้ง และการขยับมาเล่นในตลาดน้ำดื่มขวดเล็ก หรือที่เรารู้จักกันดี คือ ขวดน้ำดื่ม PET เมื่อประมาณปี 2557 โดยนอกจากจะคงภาพลักษณ์และความรู้สึกของการเป็นแบรนด์น้ำดื่มพรีเมียม สปริงเคิลยังได้นำความคิดสร้างสรรค์ และดีไซน์บรรจุลงมายังขวดน้ำดื่มให้ผู้บริโภคได้รับรู้ด้วย





     โดยหากมองดูตลาดขวดน้ำดื่ม PET ในเวลานั้น ก็มีคู่แข่งจำนวนไม่น้อยเลย แต่ด้วยกลยุทธ์สร้างความแตกต่างที่ต้องกการฉีกออกไปจากรูปแบบขวดน้ำดื่มเดิม เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบขวดใหม่ จากรูปทรงกระบอกล้อมรอบด้วยลายวงกลม เพื่อสร้างความแข็งแรงในการขนส่ง ขนย้าย ก็กลายมาเป็นขวดน้ำที่มีลายคล้ายผลึกน้ำแข็ง หรือเพชร ก็ทำให้สปริงเคิลกลายเป็นแบรนด์น้ำดื่มที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และสร้างการจดจำแก่ผู้บริโภคได้แม้จะเต็มไปด้วยคู่แข่งอยู่มากมายก็ตาม





     และจากการคิดใหม่ทำใหม่นี้ จึงทำให้สปริงเคิลได้รับรางวัล Red Dot Design Award ในหมวด Best of the best ซึ่งจะว่าไปก็เปรียบเหมือนรางวัลออสการ์ของวงการออแบบเลย ทำให้นอกจากจะผลิตสินค้าตนเองออกจำหน่ายแล้ว ยังมีแบรนด์และธุรกิจอื่นๆ อาทิ ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาลอีกมากมายมาจ้างให้ผลิต สร้างรายได้เพิ่มเข้ามาให้กับบริษัท
 
  • น้ำดื่ม ที่ไม่ยอมเป็นแค่น้ำดื่ม
 
     จากการสร้างความเปลี่ยนแปลงของสปริงเคิลที่ดูเหมือนจะฉีกออกไปจากคู่แข่งได้แล้ว แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอสำหรับแบรนด์น้ำดื่มสุดครีเอทีฟที่ต้องการคืนกำไร และมอบสิ่งดีๆ ให้กับผู้บริโภค โดยนอกจากการเปลี่ยนรูปทรงขวดใหม่จนมีเอกลักษณ์แตกต่างออกไปแล้ว เพื่อสร้างความโดดเด่นเมื่อวางอยู่บนเชลฟ์แล้ว แบรนด์ยังมีการสร้างครีเอทคอลเลคชันใหม่ๆ ออกมา เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภคด้วย





    อาทิ การฉีดสีขวดให้เป็นสีทึบมากกว่า 30 เฉด, การออกรุ่น Blossom Me เพื่อตอนรับเทศกาลวาเลนไทน์, การออกเช็ต Blissful Summer เพื่อต้อนรับฤดูร้อน เดือนเมษายน และล่าสุดที่สร้างความฮือฮามากๆ ก็คือ เช็ต Star Wars ทำให้นอกจากการซื้อขวดน้ำดื่มธรรมดา ก็กลายเป็นสินค้าที่ลิมิเตดอิดิชั่นที่มีการซื้อเพื่อเก็บสะสม และทำให้ผู้บริโภคตั้งหน้าตั้งตารอดูคอลเลกชันใหม่ๆ ว่าจะออกอะไรมาให้ตื่นเต้น และเซอร์ไพรส์อีก


     ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็นแบรนด์เล็ก แต่ก็ทำให้สปริงเคิลสามารถมียอดขายต่อปีได้เกือบหลักพันล้านบาท โดยมีข้อมูลรายงานว่าปี 2557 สปริงเคิลสามารถสร้างรายได้ 496 ล้านบาท, ปี 2558 มีรายได้ 546 ล้านบาท, ปี 2559 มีรายได้ 629 ล้านบาท และปี 2560 มีรายได้อยู่ที่ 740 ล้านบาท





     ถึงบรรทัดนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าสปริงเคิล คือ แบรนด์น้ำดื่มที่มีความเป็นนักครีเอทีฟในตัวเองสูง ตั้งแต่การพยายามหาช่องว่างในตลาดมาเล่น เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับตัวเองแบบไม่ต้องทำตามแบบใคร ไปจนถึงความคิดสร้างสรรค์นำดีไซน์และสิ่งใหม่ๆ มาแต่งแต้มลงไปในผลิตภัณฑ์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีข้อจำกัด จึงไม่แปลกเลยที่วันนี้เราจะมองภาพของสปริงเคิลว่าเป็นมากกว่าแบรนด์น้ำดื่ม แต่คือ ครีเอเตอร์แบรนด์หนึ่งนั่นเอง
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย