Main Idea
- ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโควิด-19 การค้าชายแดนและผ่านแดนไทยมีมูลค่า 209,231 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 10.6 (YoY) โดยการส่งออกอาหารสด ผักและผลไม้หดตัวสูงร้อยละ 38.1 (YoY) เนื่องจากอ่อนไหวด้านระยะเวลาขนส่งอย่างมาก ขณะที่อาหารแปรรูปยังขยายตัวที่ร้อยละ 2.0 (YoY)
- การส่งออกอาหารในภาพรวมยังต้องเผชิญกับต้นทุนการขนส่งที่ไม่แน่นอนในการรับมือกับมาตรการเฉพาะหน้าเช่น การคัดกรองบุคคลข้ามแดนที่มีผลอย่างมากต่อการขนส่ง รวมถึงมาตรการความปลอดภัยอื่นๆ ที่จะส่งผลในระยะต่อไปกลายเป็นวิถีการขนส่งข้ามแดนรูปแบบใหม่ (New Normal) จนกว่าการแพร่ระบาดจะคลี่คลายลง
- ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าอาหารข้ามแดนต้องปรับตัวรับมือวิถีปฏิบัติแบบใหม่ หรือ New Normal) นี้อย่างไร ไปติดตามกัน
เมื่อ New Normal เข้าสู่ธุรกิจขายสินค้าอาหารผ่านชายแดน
การส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการขับเคลื่อนการค้าชายแดนของไทย โดยมีมูลค่าการส่งออกผ่านชายแดน 157,521 ล้านบาท ในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของการส่งออกชายแดนและผ่านแดนทั้งหมดของไทย ขณะที่มาตรการสกัดวิกฤตโควิด -19 ของแต่ละประเทศทำให้การส่งออกสินค้าอาหารในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 15.0 (YoY) มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 46,864 ล้านบาท โดยสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าอาหารสด ผักและผลไม้ที่เน่าเสียง่าย ต้องแข่งขันกับเวลา จึงได้รับผลกระทบมากที่สุดหดตัวถึงร้อยละ 38.1 (YoY) เพราะไม่สามารถรอเวลาการข้ามแดนได้นาน และมีต้นทุนสูงในการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง
ขณะที่สินค้าอาหารแปรรูปมีความคล่องตัวในการขนส่งมากกว่าจึงยังสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 2.0 (YoY) ทั้งนี้ แม้โควิด -19 จะทยอยดีขึ้น แต่บางมาตรการของ สปป.ลาว ยังคงมีผลจนกว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลายอย่างแท้จริง อีกทั้งมีบางมาตรการอาจถูกปรับใช้มากขึ้น
ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าอาหาร รับมือกับวิถีปฏิบัติแบบใหม่ (New Normal) ดังนี้
- การขนส่งสินค้าอาหารสด ผักและผลไม้ต้องเผชิญอุปสรรคไปอีกระยะหนึ่ง
โดยเฉพาะการส่งไปเวียดนามและจีนที่ต้องผ่าน สปป.ลาว โดยเส้นทาง R3A (จากจังหวัดเชียงราย-สปป.ลาว-มณฑลยูนนานของจีน) ที่ขาดแคลนคนขับรถชาว สปป.ลาว และชาวจีน ในการรับช่วงขนสินค้าทั้งใน สปป.ลาว และในจีน เมื่อบวกกับมาตรการที่ใช้มาตั้งแต่เกิดโควิด -19 ในการห้ามรถและคนขับต่างชาติเข้าประเทศ ทำให้การส่งสินค้าจากไทยไปจีนต้องเปลี่ยนรถและคนขับ 2 ครั้ง (ที่พรมแดนไทย-สปป.ลาว และที่พรมแดน สปป.ลาว-จีน) จากเดิมที่เปลี่ยนรถครั้งเดียวโดยใช้รถและคนขับไทยวิ่งไปถึงพรมแดน สปป.ลาว-จีน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นรถและคนขับจีน
ขณะที่การส่งผ่านพรมแดน สปป.ลาว ในจุดเส้นทาง R9 และ R12 มีความยืดหยุ่น สามารถแก้ปัญหาการขนส่งได้คล่องตัวกว่า แต่ก็ทำให้มีต้นทุนการขนส่งเกินจำเป็นเพิ่มขึ้นมา ทั้งนี้ หากมองในภาพรวมการขนส่งสินค้าอาหารสด ผักและผลไม้ทางชายแดนของไทยเกือบทั้งหมดพุ่งตรงไปยังเวียดนามและจีน ซึ่งก่อนเกิดโควิด-19 การส่งออกอาหารสด ผักและผลไม้คิดเป็นร้อยละ 42 ของการส่งออกอาหารทางชายแดน แต่พอประสบปัญหาการขนส่งทำให้มีสัดส่วนลดลงเหลือเพียงร้อยละ 31 และมีมูลค่าส่งออกเหลือเพียง 14,460 ล้านบาทเท่านั้นในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 (จากเดิม 23,362 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2562)
- การบริหารจัดการเวลาขนส่งในทุกเส้นทางต้องมีแผนสำรองและยืดหยุ่นได้
การบริหารจัดการเวลาขนส่งในทุกเส้นทางกลายเป็นโจทย์สำคัญ ที่ผู้ส่งออกสินค้าอาหารสด ผักและผลไม้สดต้องมีแผนสำรองและยืดหยุ่นได้ เพื่อให้พร้อมรับมาตรการคัดกรองทั้งคนและสินค้าอย่างเข้มข้นบริเวณจุดผ่านพรมแดนที่จะยังคงอยู่จนกว่าการแพร่ระบาดยุติ ควบคู่กับการรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในกรณีที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งหากเส้นทางปกติไม่สามารถใช้งานได้จากการปิดบางด่านชั่วคราวหากโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง
รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ อาทิ การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อบริเวณจุดผ่านแดน การจัดหาหน้ากากอนามัยและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนบุคคลสำหรับพนักงานขับรถ และการขอเอกสารรับรองสุขภาพซึ่งมีระยะเวลาการใช้งานที่จำกัด การจัดหาพนักงานขับรถชาว สปป.ลาว ชาวเวียดนาม และชาวจีนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในแต่ละเส้นทาง รวมทั้งควรมีแผนสำรองในการผ่านแดนที่คงต้องใช้เวลานานกว่าปกติ โดยเฉพาะในระหว่างที่โควิด -19 แพร่ระบาดรุนแรงจะเห็นได้ว่าเส้นทางขนส่งผลไม้สายหลักที่ผ่านสปป.ลาว ที่มีปัญหาค่อนข้างมากในการส่งต่อไปเวียดนาม และจีนตอนใต้
- การส่งออกอาหารต้องปรับตัวสอดคล้องมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ
การส่งออกสินค้าอาหารควรเตรียมปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยในด้านต่างๆ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่หลายประเทศหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะมาตรฐานด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures: SPS) และมาตรการอุปสรรคทางเทคนิคต่อสินค้า (Technical Barriers to Trade: TBT) มักเป็นประเด็นสำหรับสินค้าอาหารของไทยบ่อยครั้ง
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านของไทยประกาศใช้มาตรการ SPS และ TBT มาแล้วถึง 3,777 ครั้ง โดยเฉพาะจีน เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์มักมีการปรับเพิ่มข้อกำหนดอยู่ตลอด และบ่อยครั้งจะใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าไทย อาทิ ข้อกำหนดด้านสารตกค้างในผลไม้ แมลงที่ปนมากับผัก/ผลไม้ ปริมาณส่วนประกอบที่อยู่ในอาหาร ในส่วนนี้ท้าทายการปรับตัวของเจ้าของสินค้าเป็นหลัก ในกลุ่มอาหาร ผักและผลไม้ถ้าหากยกระดับมาตรฐานการผลิตตลอดห่วงโซ่การผลิตได้จะช่วยลดอุปสรรคในระยะยาว ตั้งแต่การทำไร่ทำสวนให้ปลอดศัตรูพืชโดยเป็นไปตามการปฏิบัติการเกษตรที่ดีหรือ GAP (Good Agricultural Practice) จนมาถึงการคัดแยกและบรรจุในโรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานการผลิตอาหารหรือ GMP (Good Manufacturing Practice) และหากมีการนำผลผลิตมาแปรรูปก็ควรเป็นไปตามมาตรฐาน HACCP (Hazards Analysis and Critical Control Points) อันจะช่วยเป็นใบเบิกทางให้สินค้าเข้าสู่ตลาดสะดวกขึ้น อีกทั้งถ้าต้องการขยายตลาดไปประเทศอื่นนอกเหนือจากการค้าชายแดนก็ยังสามารถใช้มาตรฐานนี้ได้เช่นกัน
- รัฐควรเร่งผลักดันลดอุปสรรคจากวิถีปฏิบัติแบบเดิม (Old Normal)
การเกิดวิกฤตโควิด-19 ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าวิถีปฏิบัติของการขนส่งสินค้าทางบกภายในภูมิภาคแบบเดิม (Old Normal) ยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินการขนส่งสะดุดอย่างมาก แม้จะมีกรอบความตกลง AEC ที่เชื่อมโยงการตรวจสอบเอกสารศุลกากรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ASEAN Single Window: ASW) แต่ประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมาก็ยังอยู่ระหว่างพัฒนาระบบ อีกทั้ง ยังมีความตกลงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงหรือ GMS-CBTA ที่ช่วยต่อขยายการขนส่งไปถึงประเทศจีนตอนใต้ แม้มีความคืบหน้าในหลักการตรวจปล่อยสินค้าและการเดินรถขนส่งสินค้าข้ามแดนบริเวณแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) แต่ในทางปฏิบัติก็ยังต้องเปลี่ยนรถในบางพรมแดน
ดังนั้นการจะแก้ปัญหาที่มีอยู่เดิมต้องอาศัยภาครัฐให้เร่งผลักดันความสะดวกด้านต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเจรจาให้ประเทศที่มีพรมแดนติดกันมีความอะลุ่มอล่วยให้รถขนส่งสินค้าข้ามแดนได้ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยซ้ายหรือขวา โดยอาจใช้วิธีการออกใบอนุญาตรถขนส่งสินค้าทั้งรถพวงมาลัยซ้ายและขวาโดยจำกัดจำนวนรถและระบุเส้นทางให้อยู่ในข้อตกลง
ตัวอย่างเช่น กรณีของรถขนส่งไทยที่สามารถวิ่งส่งสินค้าใน สปป.ลาว ได้ในพื้นที่ที่กำหนดแม้จะใช้พวงมาลัยคนละด้าน แต่รถขนส่งไทยไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่งในเวียดนามและจีน เป็นต้น การเร่งรัดให้เกิดแนวทางการขนส่งร่วมกันในทุกด่านตรวจ เพิ่มความสะดวกการข้ามแดน อาทิ การมีช่องทางผ่านแดนเฉพาะรถขนส่งสินค้า และช่องทางเฉพาะสินค้าอาหารสดที่ต้องใช้ความเร็ว โดยผลักดันให้เกิดการตรวจสอบสินค้า ณ จุดเดียวกัน และการตรวจสอบเอกสารด้วยอิเล็กทรอนิกส์ได้ในทุกจุด ซึ่งยังติดขัดในเชิงปฏิบัติ รวมถึงการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน (Real-time) สำหรับรายงานระยะเวลาในการผ่านแดนทั้งฝั่งขาไปและขากลับ เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
วิกฤตไวรัสโควิด-19 เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กำลังซื้อและเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านไทยอ่อนแรงลง โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออกชายแดนและผ่านแดนไทยมีมูลค่า 209,231 ล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ 10.6(YoY) ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงอ่อนแรงต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกสินค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยทั้งปี 2563 จะยังหดตัวแรงที่ร้อยละ 12.8 (YoY) จากนั้นด้วยอานิสงส์ของฐานการส่งออกที่ต่ำในปีนี้ ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านในภาพรวมมีส่วนช่วยให้ภาพการค้าชายแดนและผ่านแดนไทยปรับตัวดีขึ้นในปี 2564
อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจต้องเผชิญความเสี่ยงจากรายรับที่ลดลงหนักกว่าปีอื่นๆ ขณะเดียวกันยังต้องแบกรับภาระรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในการจัดเตรียมสิ่งป้องกันเชื้อ อุปกรณ์ทำความสะอาด โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ เปลี่ยนพนักงานขับรถท้องถิ่น รวมถึงเปลี่ยนรถเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผ่านแดนในแต่ละประเทศ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบททดสอบความพร้อมของภาคธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามแดนในการบริหารจัดการคลังสินค้า การกระจายสินค้า การวางแผนการตลาดใหม่ให้สอดคล้องกับต้นทุน ภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอนที่จะอยู่กับเราไปอีกระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้มาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยจะกลายเป็นแนวทางที่นานาชาติให้ความสำคัญมากขึ้น จากเดิมประเทศเพื่อนบ้านของไทยก็มักจะหยิบขึ้นมาใช้เป็นประเด็นกีดกันการค้ากับไทยอยู่ตลอด
สถานการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจับตาและปรับตัว เพื่อข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี