เจาะกลยุทธ์ “ดอกบัวคู่” ผู้พลิกสู่เบอร์ 1 ยาสีฟันสมุนไพรไทย โดยใช้ ‘จุดด้อย’ ให้เป็น ‘จุดเด่น’

TEXT : นิตยา สุเรียมมา





Main Idea
 
  • “ดอกบัวคู่” ยาสีฟันสมุนไพรสีกาแฟที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดด้อยอยู่ในตลาด เพราะสีที่แตกต่าง ไม่เหมือนใคร จนไม่มีใครกล้าทดลองใช้
 
  • แต่วันหนึ่งด้วยคุณภาพที่ยืนหยัด และการไม่ย่อท้อที่จะอธิบาย ทำความเข้าใจกับผู้บริโภค เพื่อให้เห็นถึงประโยชน์การใช้งานจริง จึงทำให้วันนี้ ดอกบัวคู่ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ตลาดยาสีฟันสมุนไพรไทยได้
 


           

     ย้อนไปเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ในขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคุ้นชินกับเนื้อยาสีฟันสีขาวสะอาด และยาสีฟันสมุนไพรยังไม่ค่อยมีออกมามากนักในตลาด “บุญกิจ ลีเลิศพันธ์” ชายหนุ่มคนไทยเชื้อสายจีน จากอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ได้ผลิตคิดค้นยาสีฟันสมุนไพรออกวางจำหน่าย และเป็นครั้งแรกที่ทำให้คนไทยได้รู้จักกับยาสีฟันสีกาแฟที่ชื่อ “ดอกบัวคู่” ซึ่งครั้งแรกที่ผลิตออกมาจำหน่ายนั้นแทบขายไม่ได้เลย เพราะไม่มีคนกล้าลองใช้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปด้วยสรรพคุณที่แตกต่าง เห็นผลจริง จึงทำให้ดอกบัวคู่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของยาสีฟันสมุนไพรไทยที่พลิกจุดด้อยให้กลายเป็นจุดเด่น และเป็นที่จดจำแก่ผู้บริโภคคนไทยมาถึงทุกวันนี้
              



     ก่อนหน้าที่จะผลิตยาสีฟันสมุนไพรออกมาจำหน่าย บุญกิจและภรรยาเคยเปิดกิจการผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพรที่เป็นสูตรต้นตำรับของตระกูลมาก่อน อาทิ แก้ปวดหลัง โรคกระเพาะ โดยเข้ามาสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และก่อตั้งห้างขายยาสมุนไพรเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมาเมื่อปี 2516 โดยใช้วิธีเร่ขายที่ท้องสนามหลวงและตามบ้านเรือนต่างๆ ซึ่งค่อนข้างได้ผลตอบรับดีในระดับหนึ่ง


     แต่ภายหลังเนื่องจากถูกตรวจสอบว่าไม่ได้มีการจดขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงทำให้ไม่สามารถจำหน่ายต่อได้ ประกอบกับโรงานผลิตและคลังสินค้าเกิดไฟไหม้ บุญกิจและภรรยาจึงได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่อีกครั้งในปี 2520 ด้วยการผลิตยาสีฟันสมุนไพรดูแลเหงือกและฟันออกมาจำหน่าย ซึ่งนำมาจากสูตรต้นตำรับของตระกูลเช่นกัน ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ดอกบัวคู่” เนื่องจากมองเห็นว่าในขณะนั้นเมืองไทยเอง ยังไม่มีผู้ผลิตยาสีฟันสมุนไพร และถึงมีส่วนใหญ่ก็นำเข้าจากต่างประเทศ และไม่ใช่ยาสีฟันสมุนไพรล้วน แถมยังมีราคาค่อนข้างสูงอีกต่างหาก
               


Cr.Twitter น้ำแกงแห่งชิงชิว


     จากช่องทางโอกาสดังกล่าวที่มองเห็น ดูเหมือนว่าอนาคตของยาสีฟันดอกบัวคู่น่าจะไปได้ดี แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เนื่องจากผลิตมาจากสมุนไพรแท้บดละเอียด ไม่มีการฟอกขาว หรือใส่เคมีใดๆ เนื้อสีของยาสีฟันที่ออกมาจึงมีสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีของกาแฟ ทำให้ช่วงแรกที่วางขายไม่ค่อยมีผู้บริโภคคนใดเลยกล้าทดลองใช้ แม้จะรับรู้ถึงสรรพคุณที่มากมายก็ตามที


     บุญกิจต้องฝ่าฟันกับค่านิยมของผู้บริโภคที่เดิมนั้นรู้จักแต่ยาสีฟันเนื้อสีขาว โดยเขาใช้วิธีนำยาสีฟันไปแจกให้ทดลองใช้ผ่านร้านยี่ปั๊วซาปั๊วต่างๆ รวมถึงใช้หน่วยรถขนาดเล็กกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่ออธิบายและขายสินค้าโดยตรงให้ถึงมือผู้บริโภค ซึ่งเมื่อผู้บริโภคได้เกิดการทดลองใช้จริง ก็เกิดติดใจในคุณภาพและบอกต่อปากต่อปาก ทำให้ชื่อของยาสีฟันดอกบัวคู่ค่อยๆ เติบโตเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเมืองไทย



Cr.Twitter Satan


     โดยในหนึ่งหลอดของยาสีฟันดอกบัวคู่นั้นจะประกอบด้วยตัวยาสมุนไพรกว่าหลายสิบชนิด อาทิ ข่อย แก้ว พญายอ เปปเปอร์มินต์ ลิ้นทะเล โดยรวมสรรพคุณ 3 อย่างเข้าไว้ด้วยกัน คือ 1.ทำความสะอาด 2.รักษาฟันและเหงือก และ3.ป้องกันฟันผุ
               

     เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เกมการตลาดของดอกบัวคู่ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นโดยการใช้กลยุทธ์เชิงรุกด้วยการกระจายสินค้าออกวางจำหน่ายทั่วประเทศ แถมยังมีการลงทุนโปรโมตโฆษณาผ่านสื่อใหญ่ๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ ทำให้ชื่อเสียงของยาสีฟัน จากยาสีฟันที่เคยมีจุดด้อยไม่ขาวนวลเหมือนอย่างใครเขา กลับกลายเป็นจุดแข็งและจุดเด่นขึ้นมา และหากพูดถึงยาสีฟันสมุนไพรสีกาแฟแบรนด์แรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คือ ดอกบัวคู่





    โดยจากระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา จากสินค้าตัวแรกที่ออกวางจำหน่ายจนถึงวันนี้ก็ยังอยู่เหมือนเช่นเดิม แม้จะดูเป็นองค์กรที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่ดอกบัวคู่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะทำตามความต้องการของลูกค้าและตลาด โดยพร้อมที่จะลองอะไรใหม่ๆ และมีการพัฒนาสูตรออกมามากมาย รวมถึงแตกไลน์ผลิตสินค้าไปในกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่แค่ยาสีฟัน อาทิ น้ำยาบ้วนปาก สบู่ แชมพู ไปจนถึงรังนก ยาสมุนไพร และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยยังคงเติบโตอยู่บนเส้นทางของผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและธรรมชาติเป็นหลัก





     นอกจากในประเทศแล้ว ดอกบัวคู่ยังมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ อีกมากมายด้วย ได้แก่ จีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว เกาหลี ประเทศในแถบตะวันออกกลาง และตลาดยุโรป อาทิ เยอรมนี อิตาลี อังกฤษ


     โดยในแต่ละปีนั้นธุรกิจยาสีฟันสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของดอกบัวคู่สามารถสร้างรายได้มากกว่าหลายร้อยล้าน ไปจนถึงหลักพันล้านทีเดียว ได้แก่ ปี 2559 รายได้ 885 ล้านบาท, ปี 2560 รายได้ 1,053 ล้านบาท และปี 2561 รายได้ 1,288 ล้านบาท





     ปัจจุบันแม้จะมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกมามากมาย แต่รายได้หลักของบริษัทก็ยังคงมายาสีฟันดอกบัวคู่ที่ครั้งหนึ่งเคยแตกต่างและเป็นจุดด้อยอยู่ในตลาด แต่ด้วยการยืนหยัดและไม่ย่อท้อ ผลิตสินค้าคุณภาพ และการโฟกัสตัวเองว่าเป็นยาสีฟันสมุนไพรไทยอย่างชัดเจน จนวันหนึ่งก็สามารถกลับคืนมายืนเป็นเบอร์ 1 ในตลาดยาสีฟันสมุนไพรไทยได้ถึงทุกวันนี้
 
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย