เช็คสุขภาพรายได้ครัวเรือนไทย หลังโควิดพ่นพิษใส่ยาวกว่าที่คิด

 
 
Main Idea 
 
  • สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ยังคงรุนแรงในต่างประเทศ โดยล่าสุด (1 มิ.ย. 2563) จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ทั่วโลก อยู่ที่ 6.4 ล้านคน 
 
  • ในประเทศไทย รัฐบาลทยอยผ่อนปรนความเข้มงวดในการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา เป็นผลให้ธุรกิจ ร้านค้า และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทยอยกลับมาเปิดดำเนินการตามปกติ  ขณะที่มาตรการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบ COVID-19 ของภาครัฐจะทยอยสิ้นสุดลงในช่วงเดือนมิถุนายนนี้
 
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยทำการสำรวจสภาวะการครองชีพของครัวเรือนไทยที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วงวันที่ 21-28 พฤษภาคม 2563 พบหลายประเด็นที่น่าสนใจและผู้ประกอบการ SME ต้องจับตา
 
___________________________________________________________________________________________
 
 
 
     หลังไวรัส COVID-19 เข้ามาเยี่ยมเยือนประเทศไทย ส่งผลกระทบสู่ผู้คนในทุกหย่อมหญ้า ไล่ตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่ กิจการขนาดเล็ก ไปจนผลกระทบที่เข้าสู่ภาคครัวเรือน สะท้อนถึงกำลังซื้อ กำลังทรัพย์ ของผู้บริโภคคนไทยที่ถูกสั่นคลอนตามไปด้วย


     ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทำการสำรวจสภาวะการครองชีพของครัวเรือนไทยที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วงวันที่ 21-28 พ.ค. 2563 พบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ 


 
  • คนว่างงานเดือน พ.ค. 9.6 เปอร์เซ็นต์ เซ่นพิษ COVID-19

     รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากการสุ่มสำรวจภาวะการมีงานทำของครัวเรือนไทยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบจำนวนผู้ว่างงาน คิดเป็น 9.6 เปอร์เซ็นต์ ของครัวเรือนที่ทำการสำรวจ โดย 61.4 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้ว่างงานที่ทำการสำรวจ มีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบของ COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ที่ทำให้ครัวเรือนบางส่วนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ  และอีก 38.6 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้ว่างงาน มาจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ COVID-19 ทั้งนี้ อัตราการว่างงานน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดช่วงไตรมาสที่ 2 และค่อยๆ ปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 หลังจากที่ภาครัฐทยอยผ่อนปรนความเข้มงวดในการบังคับใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ภายใต้สมมติฐานที่ว่า ไม่มีการแพร่ระบาดซ้ำของไวรัส COVID-19 จนนำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ ครั้งที่ 2 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะติดตามประเด็นการจ้างงานของครัวเรือนไทยนี้อย่างต่อเนื่องและนำผลมารายงานในระยะถัดไป


     นอกจากนี้ เมื่อสอบถามมุมมองของครัวเรือนไทยต่อสภาวะการมีงานทำของตนเอง พบว่า 6.4 เปอร์เซ็นต์ ของครัวเรือนที่ทำการสำรวจ (ที่มีงานทำ) มองว่า บริษัทที่ตนเองทำงานอยู่มีโอกาสสูงที่จะปิดตัวลงในไม่ช้าจากผลกระทบของ COVID-19 ในขณะที่ 17.4 เปอร์เซ็นต์ ของครัวเรือนที่ทำการสำรวจ (ที่มีงานทำ) มองว่า มีโอกาสสูงที่บริษัทจะปรับลดพนักงานและตนเองจะถูกเลิกจ้าง ซึ่งครัวเรือนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มักเป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน และทำงานอยู่ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง 



 
 
  • คนตระหนักเรื่องออมเงิน และหารายได้หลายช่องทาง

     ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของเงินออมและการสร้างรายได้หลายช่องทางมากขึ้น หลังเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยจากการสำรวจมุมมองการวางแผนดำเนินชีวิตหลังเผชิญกับ COVID-19 ของครัวเรือนไทย 3 กลุ่ม แบ่งตามการใช้สิทธิ์เยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 พบรายละเอียดดังนี้ 
 

กลุ่มที่ 1 : กลุ่มแรงงานนอกระบบที่ได้รับสิทธิ์เงินเยียวยาจากมาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน”  
พบว่า หลังมาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน” สิ้นสุดลง ครัวเรือนที่ได้รับสิทธิ์มาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน” ส่วนใหญ่ 35.5 เปอร์เซ็นต์ พยายามหางานรับจ้างชั่วคราว (ฟรีแลนซ์) แบบเดิมทำไปก่อน อีก 25.6 เปอร์เซ็นต์ เปลี่ยนไปค้าขายออนไลน์ 


กลุ่มที่ 2 : กลุ่มแรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และใช้สิทธิ์เงินชดเชยจากประกันสังคมกรณี COVID-19 
พบว่า หลังจากที่สิ้นสุดช่วง 3 เดือนที่ได้รับเงินชดเชยจากประกันสังคมแล้ว แรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ 47.4 เปอร์เซ็นต์ เลือกที่จะกระจายความเสี่ยงทางด้านรายได้ผ่านการมีอาชีพเสริมเพิ่มเติม อย่างน้อย 1 อาชีพ อีก 18.0 เปอร์เซ็นต์ จะกลับเข้าทำงานบริษัทเดิม หากมีการรับคนเพิ่ม และอีก 11.3 เปอร์เซ็นต์ เปลี่ยนไปค้าขายออนไลน์แทน 


กลุ่มที่ 3 : กลุ่มแรงงานที่ไม่ได้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ “เราไม่ทิ้งกัน” และไม่ได้ใช้สิทธิ์เงินชดเชยกรณี COVID-19 จากประกันสังคม 
พบว่า หลังจากที่เผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในครั้งนี้ แรงงานกลุ่มนี้ตระหนักถึงความสำคัญของวินัยทางการเงินของตนเองมากขึ้น โดย 43.8 เปอร์เซ็นต์ ของแรงงานกลุ่มนี้เริ่มเก็บออมมากขึ้นและระมัดระวังการใช้จ่ายในปัจจุบัน อีก 28.4 เปอร์เซ็นต์ มองหาอาชีพเสริมเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้หลายช่องทาง และอีก 22.9 เปอร์เซ็นต์ ลดการก่อหนี้ทุกรูปแบบ และพยายามปลดภาระหนี้สินที่มีอยู่เดิมให้เร็วที่สุด


 
  • Social Distancing ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน

     มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือนไทยส่วนใหญ่  จากผลสำรวจ พบว่า แม้ในปัจจุบันจะมีการผ่อนปรนให้ธุรกิจส่วนใหญ่กลับมาดำเนินการตามปกติแล้ว แต่ครัวเรือนส่วนใหญ่ 95.5 เปอร์เซ็นต์ กลับได้รับผลกระทบจากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมในลักษณะที่แตกต่างกัน โดย 52.5 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้และผลประกอบการลดลง ทั้งนี้ ครัวเรือนส่วนใหญ่ 25.4 เปอร์เซ็นต์ อยากให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังจากที่มาตรการเยียวยาในช่วงก่อนหน้าสิ้นสุดลง 


 
  • สรุป

     ผลการสำรวจข้างต้นชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานและการใช้จ่ายของครัวเรือนไทยในระยะข้างหน้า โดยวิถีปกติใหม่ (New normal) ที่สะท้อนจากผลการสำรวจชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ในการดูดซับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งเข้ามาแทนที่ภาคเกษตรกรรมที่แต่เดิมช่วยดูดซับแรงงานส่วนเกินจากภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในขณะที่รูปแบบการใช้จ่ายของครัวเรือนกลับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ระมัดระวัง และเร่งสร้างวินัยทางการเงินของตนเองเพิ่มขึ้น 


     นี่จึงเป็นโจทย์เร่งด่วนสำหรับภาครัฐ ทั้งในเรื่องของการออกมาตรการเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับจำนวนผู้ว่างงานใหม่หลังมาตรการเยียวยาสิ้นสุดลง และการออกมาตรการส่งเสริมการออมที่เอื้อต่อแรงงานหลายกลุ่ม เช่น แรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ  แรงงานที่มีรายได้น้อย เป็นต้น 
 

     สำหรับผู้ประกอบการ SME เศรษฐกิจครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 และมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ตลอดจนพฤติกรรมการออมที่มากขึ้น ส่งผลต่อการใช้จ่ายและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งกระทบต่อรายได้ของ SME  อย่างเลี่ยงไม่ได้  นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องประคับประคองตัวเอง และวางแผนดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปให้ได้   


 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย