ล้วงสูตรธุรกิจ “โบตัน” ยาอมชนิดแผ่น ที่ไม่ยอมทิ้งความดีงามของตัวเองมากว่า 80 ปี

TEXT : นิตยา สุเรียมมา





Main Idea

 
  • ยาอม “โบตัน” หนึ่งในสินค้าโดดเด่นที่ผลิตขึ้นมาในยุคแรกๆ ของบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ซึ่งวางจำหน่ายในท้องตลาดมาแล้วกว่า 80 ปี
 
  • ถึงแม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนาน แต่ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของโบตันแบบคลาสสิก ก็ยังมีแค่ 3 รูปแบบ คือ 1.โบตันแผ่นแบบดั้งเดิม 2. โบตันตลับขาว และ 3.โบตันตลับเหลือง หรือโบตันพลัส ที่มีการเติมความหวานให้มากยิ่งขึ้น
 


 
               
     จากแผ่นใบปลิวโฆษณาของโบตัน ยาอมสมุนไพรชนิดแผ่นเมื่อปี 2483 มาถึงปัจจุบันนี้ ยาอมชนิดดังกล่าวก็ยังมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับอันเดิมไม่มีผิดเพี้ยน อะไรทำให้ผ่านมาแล้วกว่า 80 ปี รสชาติและหน้าตาของยาอมดังกล่าวยังคงอยู่เหมือนเช่นเดิม ลองไปติดตามสูตรลับธุรกิจของยาอมโบราณแบรนด์นี้กัน
               




     ยาอม “โบตัน” เริ่มผลิตขึ้นมาครั้งแรกเมื่อใดไม่มีการระบุไว้ชัดเจน รู้แต่เพียงว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เด่นของบริษัท โอสถสภา ซึ่งผลิตขึ้นมาในยุคของ “สวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์” ทายาทรุ่นที่ 2 บุตรชายของนายแป๊ะ แซ่ลิ้ม (โอสถานุเคราะห์) เจ้าของร้านขายยาเล็กๆ ย่านสำเพ็ง “เต๊กเฮงหยู” (ก่อตั้งเมื่อ 2434) ที่อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็โด่งดังขึ้นมาจากการเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย “ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน” ยาแก้ปวดท้อง ท้องเสียอันโด่งดัง ที่ช่วยรักษาเหล่าทหารและชาวบ้านให้รอดพ้นจากการระบาดของอาการท้องร่วงรุนแรงและอหิวาตกโรค จนได้รับเข็มพระราชทานเสือป่าและนามสกุลพระราชทาน “โอสถานุเคราะห์” จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
               




     โดยเป็นสินค้าในยุคเดียวกันกับยาธาตุ 4, ยาเด็ดไอ, ยาอัศจรรย์, ยาทัมใจ และอีกหลายชนิด ซึ่งใช้โลโก้เป็นรูปตรากิเลนเหมือนกับยากฤษณากลั่นสินค้าตัวแรกของบริษัท


     ส่วนผสมของยาอมโบตันนั้นจะประกอบด้วย 2 ตัวยาหลัก คือ รากชะเอมบด และสะระแหน่ ซึ่งทำให้ความหวานชุ่มคอและกลิ่นหอม โดยยาอมโบตันนั้นจะใช้ส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรจริงจากธรรมชาติมาผลิต ไม่ใช่แค่สารสกัด จึงทำให้ชุ่มคอได้นานกว่า ละลายช้า นับเป็นคุณสมบัติเด่นของโบตันที่เริ่มต้นมายังไง ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้น
               


Cr.MAYAINK


     โดยการทำตลาดของโบตันในยุคแรกนั้น ได้วางกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และกระจายสินค้าให้เป็นที่รู้จักออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1.การผูกมิตรสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับร้านขายยา เพื่อให้ช่วยแนะนำสินค้า ซึ่งเสมือนเป็นการวางรากฐานแบรนด์ให้แข็งแกร่งตั้งแต่ต้น 2.การทำโฆษณาโปรโมตผ่านทุกช่องทางที่สามารถทำได้ เช่น ใบปิดประกาศติดตามต้นไม้ ท่าน้ำ ร้านค้า ร้านขายยา


     ไปจนถึงการใช้กลยุทธ์รถเร่ฉายหนังขายยา โดยโอสถสภาถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่นำกลยุทธ์ดังกล่าวมาใช้โปรโมตสินค้าในเครือ นอกจากนี้ยังมีการแจกสินค้าตัวอย่างให้ทดลองใช้ การเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนในงานใหญ่ของจังหวัดต่างๆ และลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ด้วย 





     จากความพยายามในการสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว การเติบโตขึ้นมาของโบตันยังนับว่าเป็นจังหวะที่ประจวบเหมาะพอดีและสร้างโอกาสให้ธุรกิจด้วย โดยในช่วงที่เริ่มวางจำหน่ายออกสู่ตลาดนั้น เป็นช่วงเดียวกันกับที่รัฐบาลมีการสั่งห้ามคนไทยไม่ให้กินหมากอย่างจริงจัง เพราะทำให้บ้านเมืองสกปรก เมื่อต้องเลิกเคี้ยวหมากก็ทำให้เหงาปาก ทำให้ต้องหาอะไรมาทดแทน ซึ่งก็ได้โบตันนี่แหละมาใช้อมแทนการเคี้ยวหมาก จึงไม่แปลกที่แบรนด์จะได้รับความนิยมขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเวทีแจ้งเกิดขึ้นมาเลยก็ว่าได้


     โดยการเติบโตของโบตันนั้นอาจเป็นแบรนด์ที่เติบโตช้าและดำเนินธุรกิจไปแบบเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยเฉพาะด้านแพ็กเกจจิ้ง โดยในยุคแรกนั้นโบตันจะผลิตมาเป็นซองกระดาษห่ออยู่ด้านนอก ด้านในจะมีฟอล์ยหุ้มอีกทีเพื่อเก็บกลิ่นและรสชาติของตัวยา ต่อมาจึงพัฒนาเป็นกระดาษฟอล์ยในตัว แล้วจึงขยับมาเป็นตลับโลหะ ซึ่งช่วยเก็บรักษาตัวยาได้ดีเช่นกัน รวมถึงพกพา ใช้งานง่าย โดยมีการปรับจากแผ่นให้เป็นเกล็ดเล็กๆ ด้วย แต่ด้วยต้นทุนที่สูงเกินไปจึงเลิกผลิต และหันมาผลิตเป็นตลับพลาสติกแทน
               




     ในส่วนของ Botan Mint Ball ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ความจริงก็เป็นแบรนด์ที่ต่อยอดมาจากโบตันคลาสสิกเช่นกัน โดยในช่วงแรกนั้นได้มีการพยายามปรับสูตรเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ด้วยการนำสารเคลือบความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาลและความหอมเย็นมาเคลือบไว้ ส่วนด้านในยังคงเป็นโบตันรสดั้งเดิม แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะยังติดที่รสขม


     ภายหลังจึงได้มีการดึงรสชาติความเป็นสมุนไพรออกไป คงเหลือไว้แต่รสมินท์เย็นชื่นใจ ผลิตภัณฑ์ลูกอมแบบใหม่ของโบตันที่ทำออกสู่ท้องตลาด จึงถูกนำมาผลิตภายใต้แบรนด์ Botan Mint Ball โดยเน้นชูความเป็นมินท์ และแยกออกจากโบตันคลาสสิกดั้งเดิมอย่างชัดเจน





     สำหรับโบตันแบบคลาสสิกนั้น ยังคงรักษาสูตรและคุณภาพไว้เหมือนเช่นเดิม รวมถึงรูปแบบสินค้าก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมด้วย เพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำของแบรนด์ที่เหนียวแน่น โดยปัจจุบันมีจำหน่าย 3 รูปแบบ คือ 1.โบตันแผ่นแบบดั้งเดิม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติเข้มข้นของสมุนไพร 2. โบตันตลับขาวกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบรสชาติดั้งเดิม แต่ต้องการความสะดวกสบายในการพกพาด้วย และ 3.ตลับเหลือง หรือโบตันพลัส จะมีการปรับรสชาติให้หวานขึ้นด้วยชะเอม เพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้นตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าผู้หญิงโดยเฉพาะ
               

     นอกจากนี้โอสถสภายังได้มีการหันกลับมาทำตลาดเกี่ยวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาโบราณ รวมถึงโบตันเพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อสื่อให้ผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้เห็นถึงคุณค่าเรื่องราวความเป็นมาอันคลาสสิกของผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยได้มีการจัดทำพิพิธภัณฑ์ร้านขายยา “กิเลน เต๊กเฮงหยู” ณ ล้ง 1919 ขึ้นมาเมื่อปี 2562 เพื่อรำลึกถึงรากเหง้าต้นกำเนิดของธุรกิจในยุคเริ่มต้นที่ดำเนินมากว่า 129 ปี รวมถึงการวางแผนปรับภาพลักษณ์ และรื้อฟื้นพอร์ตยาโบราณของโอสถสภาขึ้นมา มีการอิงกับกระแสของละครดังและภาพยนตร์ต่างๆ การนำนักแสดงคนรุ่นใหม่มาช่วยโปรโมตสินค้า ไปจนถึงการผลิตสินค้า Limited Edition และปรับปรุงรูปโฉมใหม่ของผลิตภัณฑ์ขึ้นมาด้วย
               



     จึงนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอุดมการณ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจ จากการเลือกที่จะเก็บรักษาคุณงามความดีของผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเดิมไว้ แม้ใครจะมองว่าเชย หรือล้าสมัย ด้วยเหตุผลว่ายังเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ ซึ่งแน่นอนของดียังไงก็ต้องเป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภคเสมอ และนี่เองก็ได้ที่อาจเป็นสูตรลับธุรกิจทำให้โบตันและสินค้าอื่นๆ ในโอสถสภาประสบความสำเร็จได้เช่นทุกวันนี้
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย