Main Idea
- “เฮลซ์บลูบอย” แบรนด์น้ำหวานเข้นข้นของไทยที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานเกือบ 60 ปี แม้จะเติบโตท่ามกลางคู่แข่งเครื่องดื่มเกิดใหม่มากมาย แต่การเลือกวางตัวเองอยู่ในตลาดน้ำหวานที่สามารถนำมาชงดื่มกินเองได้ง่ายๆ ก็ทำให้เฮลซ์บลูบอยเติบโตมาอย่างต่อเนื่องได้เรื่อยๆ
- แม้จะดำเนินธุรกิจมากว่าครึ่งศตวรรษ แต่บริษัทกลับมีสินค้าจำหน่ายป้อนให้กับตลาดเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ น้ำหวาน และน้ำตาลก้อน แต่ธุรกิจก็กลับสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้มากกว่าปีละหลายพันล้านบาท
ถ้าพูดถึงน้ำหวานในขวดแก้ว เชื่อแน่ว่าสำหรับคนไทยแล้วแบรนด์ที่อยู่ในใจและมักถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ ต้องเป็น “เฮลซ์บลูบอย” (Hale’s Blue Boy) อย่างแน่นอน ซึ่งแม้จะผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน แต่ภาพจำของเฮลซ์บลูบอยวันนี้ หรือย้อนไปเมื่อเกือบ 60 ปีก่อน ก็ยังคงเป็นภาพน้ำหวานขวดแก้วขวดเดิมที่ไม่เปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและรสชาติถูกใจคนไทยเหมือนเดิม
- กำเนิดน้ำหวานขวดแก้ว
ภาพน้ำหวานในขวดแก้ว มีรูปเด็กผู้ชายยืนสวมหมวกเป็นสัญลักษณ์ กับฟอนต์ภาษาอังกฤษคำว่า “Hale's Blue Boy” คือภาพของแบรนด์ “เฮลซ์บลูบอย” ที่คนไทยจดจำได้มานานเกือบ 60 ปี
โดยแบรนด์น้ำหวานขวดแก้วเฮสซ์บลูบอยนั้น ก่อตั้งเมื่อปี 2502 จากพี่น้อง 4 คนแห่งตระกูลพัฒนะเอนก ซึ่งเริ่มต้นนั้นประกอบกิจการเป็นร้านโชห่วยมาก่อน ภายหลังเมื่อเริ่มมองเห็นโอกาสของธุรกิจน้ำหวาน ซึ่งในขณะนั้นเองสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดนี้ยังถือว่ามีอยู่น้อยมากในตลาดเมืองไทย จึงได้ลองคิดค้นสูตรน้ำหวานขึ้นมาเอง
ซึ่งก็ไม่ได้มีการยืนยันว่าเฮลซ์บลูบอยเป็นแบรนด์น้ำหวานขวดแก้วแบรนด์แรกของไทยไหม แต่ที่สำคัญ คือ เฮลซ์บลูบอย คือ แบรนด์น้ำหวานขวดแก้วแรกๆ ของไทยที่ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และเครื่องหมายการค้าทางตลาด โดยมีการวาดโลโก้เป็นรูปเด็กผู้ชายใส่หมวก แถมฟอนต์ตัวอักษรชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษที่แกะจากบล็อกไม้ จึงทำให้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร บวกกับการใช้งานได้ง่าย ชงดื่มเองที่บ้านได้ และราคาไม่แพง จึงทำให้อยู่ในใจผู้บริโภคคนไทยได้ไม่ยาก
ปัจจุบันมีทั้งหมดถึง 9 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ สละ ครีมโซดา มะลิ สตรอว์เบอร์รี่ สับปะรด องุ่น แคนตาลูป ซาสี่ และกุหลาบ โดยรสชาติคลาสสิกและนิยมกันมาก คือ สละ ขวดสีแดง และครีมโซดา ขวดสีเขียว
- ยืนหนึ่งในตลาดน้ำหวาน วางตัวเป็นสินค้าครัวเรือน
ถึงแม้จะมีคู่แข่งเครื่องดื่มน้ำหวานรสชาติต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน แต่เฮลซ์บลูบอยได้เลือกวางตัวเองอยู่ในตลาดน้ำหวานเข้มข้น เป็นสารตั้งต้นวัตถุดิบเพื่อให้ความหวานมาตั้งแต่แรก ไม่ใช่เครื่องดื่มสำเร็จรูปทั่วไป จึงทำให้ยังสามารถอยู่รอดได้แม้ในท่ามกลางผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเกิดใหม่มากมาย
หรือหากจะย้อนกลับไปในอดีตแล้ว เฮลซ์บลูบอยก็วางตัวเองชัดตั้งแต่แรกในการเป็นสินค้าเพื่อครัวเรือนที่เน้นขายสินค้าดี ราคาไม่แพง ด้วยความที่ตลาดก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของเครื่องดื่มสำเร็จรูปทั่วไป จึงทำให้ไม่ค่อยมีผู้เล่นรายใหญ่ให้ความสนใจจะลงมาเล่นเท่าไหร่นัก แบรนด์จึงสามารถเติบโตมาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ต้องแข่งขันกับใครมากนัก แต่ก็ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์เอง จึงทำให้ผู้บริโภคติดใจในแบรนด์ ซึ่งหากลองเทียบกับแบรนด์น้ำหวานอื่นๆ แม้เฮลซ์บลูบอยจะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่ผู้บริโภคก็ยินดีที่จะจ่ายมากกว่า
- ต่อยอดความหวานจากขวดแก้ว สู่เมนูเครื่องดื่มหลากไอเดีย
นอกจากการเลือกวางตัวเองอยู่ในตลาดน้ำหวานที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนกับตลาดเครื่องดื่มทั่วไปแล้ว การเลือกที่จะเป็นวัตถุดิบให้ความหวานที่มีหลากสีหลากรสชาติ ก็ทำให้เฮลซ์บลูบอยสามารถขยายตัวเองออกจากแค่ตลาดเครื่องดื่ม สู่ตลาดขนมหวาน เบเกอรี่ต่างๆ ได้ด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าจากน้ำหวานขวดเดียวจะสามารถต่อยอดแตกเป็นเมนูอื่นๆ ได้อีกหลากหลายชนิด ตั้งแต่เมนูง่ายๆ เช่นการชงผสมน้ำเปล่า โซดา ก็หวานชื่นใจได้ ไปจนถึงเป็นเมนูน้ำแข็งใสรถเข็น เครื่องดื่มร้านกาแฟ หรือเมนูเครื่องดื่มและขนมหวานต่างในร้านอาหารหรูๆ ทำให้สามารถแตะกลุ่มลูกค้าได้ครบทุกกลุ่ม
ซึ่งจริงๆ แล้วที่เป็นอย่างนั้นได้ เป็นเพราะการใส่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการผลิตที่ได้มาตรฐานนั่นเอง โดยหากถามเหตุผลว่าทำไมน้ำหวานเฮลซ์บลูบอย จึงยังเป็นภาพขวดแก้วเหมือนเดิมที่เราเห็นเหมือนกับเมื่อเกือบ 60 ปีก่อน นั่นก็เป็นเพราะว่าเพื่อเก็บรักษาคุณภาพของน้ำตาลหรือความหวานให้คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น โดยหากเป็นขวดพลาสติกทั่วไปจะอยู่ได้เพียง 1 ปี แต่หากเป็นขวดแก้วจะสามารถเก็บรักษาได้นาน 2 – 5 ปีทีเดียว ซึ่งแม้จะมีต้นทุนที่สูงกว่าทั้งการผลิตหรือขนส่ง แต่ทางแบรนด์ก็ยอม เพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์เอาไว้
- เติบโตกว่าครึ่งศตวรรษ แต่ทำสินค้าขายแค่ 2 อย่าง
เส้นทางการเติบโตทางธุรกิจของพี่น้องตระกูลพัฒนะเอนกนั้น แม้จะเริ่มต้นธุรกิจมานาน แต่ก็มีการผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายเพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ น้ำหวานเข้มข้นและน้ำตาลก้อนชงกาแฟ
เนื่องจากมองว่าเป็นสิ่งที่ถนัด และมองว่าการขายสินค้าน้อยชิ้น จะทำให้บริษัทก้าวเติบโตได้อย่างมั่นคง มีความเสี่ยงน้อย ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างการจดจำแก่ผู้บริโภคได้มากกว่า จึงทำให้ที่ผ่านมานั้นเราอาจเห็นการเติบโตของแบรนด์เฮลซ์บลูบอยดำเนินไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ ไม่ได้มีการทำการตลาดหวือหวา แต่กลับครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาได้ตลอด
โดยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรดเริ่มเกิดขึ้นมากมาย จึงทำให้ยอดการเติบโตของเฮลซ์บลูบอยจากที่มาเรื่อยๆ นิ่งๆ กลับขยายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเมื่อตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว เฮลซ์บลูบอยจึงได้หันกลับมาศึกษาแผนบุกตลาดต่างประเทศอีกครั้ง โดยเริ่มต้นจากประเทศเพื่อนบ้านและแถบโซนเอเชียก่อน จากนั้นจึงขยายต่อไปยังยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่จีนและอินเดีย ซึ่งสิ่งที่เฮลซ์บลูบอยนำติดตัวไปด้วยนั้น คือ การนำเสนอความเป็นน้ำหวานเบอร์หนึ่งของไทย (No.1 Syrup in Thailand) เพื่อสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั่นเอง
ซึ่งจากการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ปัจจุบันบริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำหวานเข้มข้นเฮลซ์บลูบอยมีรายได้ตกปีละหลายพันล้านบาท กลายเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดน้ำหวานในเมืองไทยได้อย่างแท้จริง
โดยในปี 2557 รายได้รวม 2,392 ล้านบาท กำไรสุทธิ 515 ล้านบาท, ปี 2558 รายได้รวม 2,830 ล้านบาท กำไรสุทธิ 605 ล้านบาท, ปี 2559 รายได้รวม 2,803 ล้านบาท กำไรสุทธิ 581 ล้านบาท และปี 2560 ปี 2560 รายได้ 2,500 ล้าน กำไร 465 ล้านบาท
และนี่คือ เรื่องราวของน้ำหวานขวดแก้วของไทยชื่อ เฮลซ์บลูบอย ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังคงคุณภาพคับขวดอยู่คู่เรือนไทยมาตลอดเกือบ 60 ปีนั่นเอง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี