“สมใจ” จากร้านในตำนาน สู่ร้านเครื่องเขียนออนไลน์แห่งแรกของไทย

TEXT : นิตยา สุเรียมมา
 


 

Main Idea
 
 
  • “สมใจ” คือร้านเครื่องเขียนระดับตำนานที่ใครมาก็สมใจได้ครบทุกความต้องการออกไปทุกครั้ง เพราะมีสินค้าให้เลือกครบครัน ราคาถูก และประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องเขียนที่มีมายาวนานกว่า 65 ปี
 
  • ปัจจุบันมีด้วยกันทั้งหมด 19 แห่ง และสาขาออนไลน์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.somjai.co.th จนกลายเป็นร้านเครื่องเขียนออนไลน์แห่งแรกของไทย
 
  • โดยชื่อสมใจ มาจากชื่อของคุณยายสมใจผู้ก่อตั้ง และลายมือแท้ๆ ของคุณยายเอง
 
 

               
     ถ้าพูดถึงแบรนด์ร้านเครื่องเขียนระดับตำนานของไทยที่อยู่มานานหลายสิบปี หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “สมใจ” รวมอยู่ด้วยแน่นอน
               

     จากการเป็นร้านเครื่องเขียนเก่าแก่ที่อยู่มานานกว่า 65 ปี จากสาขาแรกขยายเพิ่มเป็นอีกเกือบ 20 แห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดในปัจจุบัน ซึ่งการเติบโตของร้านสมใจไม่ใช่เพียงแค่การขยายสาขาเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีพัฒนาการเติบโตทางธุรกิจที่ดีด้วย โดยแต่ละยุคได้มีการปรับเปลี่ยนพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพของสมใจวันนี้กับเมื่อ 60 กว่าปีก่อน อาจดูแตกต่างและมาไกลกว่าเดิมที่เราเคยเห็น แต่ความผูกพันและรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์กลับเพิ่มขึ้น ไม่แตกต่างไปจากเดิม ยังคงเป็นร้านเครื่องเขียนที่พึ่งในดวงใจของเด็กนักเรียนไทย ศิลปินหน้าเก่าหน้าใหม่จนถึงทุกวันนี้
               




     ร้านสมใจเครื่องเขียนก่อตั้งมาโดย “คุณตานิยม” และ “คุณยายสมใจ ผเดิมชิต” โดยก่อนหน้าที่จะเปิดร้านของตัวเองท่านทั้งคู่เคยเป็นพนักงานประจำร้านหนังสือสารานุกรมมาก่อน วันหนึ่งเมื่อแต่งงานสร้างครอบครัว จึงอยากมีกิจการเล็กๆ ของตัวเอง โดยก่อตั้งร้านขึ้นมาแห่งแรกเมื่อปี 2498
โดยชื่อร้านสมใจนั้นนำมาจากชื่อของคุณยายสมใจนั่นเอง แถมไม่ใช่แค่ชื่อ แต่ยังเป็นลายมือด้วย เหตุที่นำมาตั้งเป็นชื่อร้าน เพราะอยากให้เป็นร้านที่ใครๆ มาก็ได้สมใจกลับไปทุกอย่าง


     แรกๆ ร้านสมใจไม่ได้เป็นร้านเครื่องเขียนอย่างที่เรารู้จักกันอย่างทุกวันนี้ แต่เริ่มต้นจากการเป็นร้านขายหนังสือสารานุกรมขึ้นมาก่อนที่รู้จักกันดี เช่น อิเหนา สามก๊ก แต่ด้วยความที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนเพาะช่างและสวนกุหลาบมีนักเรียนเข้ามาถามหาอุปกรณ์เครื่องเขียนอยู่เรื่อยๆ จึงได้เริ่มนำเข้ามาขาย จนภายหลังกลายเป็นสินค้าหลักของร้านแทน เพราะในขณะนั้นคู่แข่งร้านหนังสือใหญ่ๆ เองก็มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน





     โดยหลังจากเปลี่ยนจากร้านขายหนังสือมาเป็นร้านเครื่องเครื่องเขียนเต็มรูปแบบทำให้ได้รับการตอบรับที่ดี จึงได้ขยายสาขาเพิ่มเป็น 4 แห่ง เพื่อแบ่งให้ลูกๆ แต่ละคนช่วยดูแล ซึ่งนอกจากจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นแล้ว ยังวางกลยุทธ์ธุรกิจได้น่าสนใจ โดยแต่ละร้านจะมีสินค้าเรียกแขกหรือสินค้าหลักที่แตกต่างกันออกไป เพื่อครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เหตุผลอีกข้อ คือ เพื่อจะได้ไม่เกิดการแย่งลูกค้ากันเองด้วย เพราะตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน ได้แก่ สมใจ 1 ชำนาญด้านกระดาษทุกชนิด, สมใจ 2 (สาขาแรก) ครบครันด้วยอุปกรณ์เครื่องเขียน, สมใจ 3 แหล่งรวมอุปกรณ์งานศิลป์ สำหรับนักศึกษาและผู้สร้างสรรค์งานศิลปะโดยเฉพาะ และสมใจ 4 เน้นขายอุปกรณ์งานศิลปะสำหรับมืออาชีพ


     จากการดำเนินธุรกิจของรุ่นแรก เมื่อมาถึงรุ่นที่ 2 ได้มีการนำระบบไอที และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้บริหารจัดการธุรกิจ ทำให้การทำงานเป็นระบบมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นไป


     
     กระทั่งปัจจุบันได้ทายาทรุ่นที่ 3 คนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยสานต่อ ทำให้ภาพลักษณ์ของสมใจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก มีความทันสมัย และเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ทายาทรุ่นที่ 3 พยายามทำให้กับธุรกิจของครอบครัว คือ การตอกย้ำถึงความเป็นแบรนด์ร้านเครื่องเขียนเก่าแก่ที่มีความเป็นตัวจริงและชำนาญด้านเครื่องเขียนในเมืองไทย มีการจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปให้ความรู้ส่งเสริมงานด้านศิลปะ


     นอกจากนี้ยังมีการหันมาทำตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าให้มากขึ้นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ กระทั่งมีการเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาอย่างเป็นทางการของตัวเอง www.somjai.co.th เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น จำหน่ายสินค้าผ่านระบบ e-Commerce และสร้างคอมมูนิตี้สำหรับคนทำงานศิลปะ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 โดยจัดเรียงอุปกรณ์เครื่องเขียนได้น่าดึงดูด เลือกซื้อง่าย สามารถกดสั่งซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงกลายเป็นร้านเครื่องเขียนออนไลน์แห่งแรกๆ ของไทยแบบเต็มรูปแบบ รวมถึงกลายเป็นร้านสาขาใหม่ขึ้นมาโดยปริยายแบบไม่ต้องมีหน้าร้าน แต่ขายผ่านออนไลน์แทน





     และหลังจากนั้นก็เห็นความเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ที่เรียกเสียงฮือฮาอีกอัน คือ การจับมือร่วมกับ BNK48 วงนักร้องวัยรุ่นชื่อดังแห่งยุคของเมืองไทย เพื่อทำคอลเลกชันเครื่องเขียนชุดพิเศษ เพื่อเข้าถึงแฟนคลับที่เป็นลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น
จากการรุกหน้าปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์การทำธุรกิจแบบใหม่ ทำให้ร้านสมใจมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยปี 2557 มีรายได้ 195 ล้านบาท, ปี 2558 รายได้ 193 ล้านบาท และปี 2559 รายได้ 222 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีทั้งหมดด้วยกัน 19 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมถึงสาขาออนไลน์ด้วย


     และนี่คือเรื่องราวของร้านเครื่องเขียนระดับตำนานของไทยที่วันนี้พัฒนาตนเองขึ้นมาก้าวสู่โลกออนไลน์ได้ ถามว่าทำไมร้านสมใจเครื่องเขียน จึงได้ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมานาน หากลองวิเคราะห์จุดแข็งของสมใจในตลาดเครื่องเขียนที่มีการแข่งขันกันสูง มีผู้รายใหม่ลงมาเล่นอยู่เรื่อยๆ คงเป็นเพราะการเป็นร้านเครื่องเขียนที่ครบครันมีทุกอย่างที่ต้องการสำหรับทุกคน ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 60,000 รายการ ราคาขายที่ไม่แพงจนเกินไปเหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ยังมีทุนทรัพย์น้อย รวมไปถึงประสบการณ์ที่สั่งสมเป็นองค์ความรู้ของทางร้านและเหล่าพนักงานเก่าแก่เอง จึงมีความเชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำดีๆ แก่ลูกค้าได้





     สิ่งเหล่านี้แหละที่ช่วยส่งต่อความแข็งแกร่งและการเติบโตทางธุรกิจ และก็ไม่ยากเลยที่จะทำให้สมใจเป็นหนึ่งในร้านเครื่องเขียนในดวงใจของใครหลายคนที่มีความผูกพันสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น สมกับชื่อร้านว่าสมใจ เพราะใครมาก็ได้สมใจครบทุกความต้องการออกไป
 
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย