Main Idea
- KKP Research ปรับประมาณการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจจาก -2.4 เปอร์เซ็นต์ เป็นลงลึกถึง –6.8 เปอร์เซ็นต์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หดตัวลึกและยาวนานยิ่งขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้
- สถานการณ์นี้จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานเป็นวงกว้าง โดยธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร ภาคการค้า และการขนส่ง โดยจะส่งผลให้แรงงานจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้างหรือถูกขอให้หยุดงานชั่วคราว ธุรกิจอื่นๆ เช่น ภาคการผลิต ก่อสร้าง และบริการอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงเช่นเดียวกัน จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือ
___________________________________________________________________________________________
ดูท่าจะพ่นพิษหนักขึ้นเรื่อยๆ สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่มีความรุนแรงหนักขึ้นกว่าเดิม บวกมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ สถานการณ์เช่นนี้จะกระทบเศรษฐกิจไทยในปีนี้หนักหน่วงแค่ไหน และธุรกิจใดจะได้รับผลกระทบบ้าง ในมิติใด ไปติดตามกัน
- ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ ติดลบ 6.8 เปอร์เซ็นต์
เป็นการคาดการณ์ที่สาหัสสากรรจ์ไม่น้อย เมื่อล่าสุด KKP Research ได้ออกมาปรับประมาณการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจลงอีกครั้งจาก -2.4 เปอร์เซ็นต์ เป็นลงลึกถึง –6.8 เปอร์เซ็นต์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีความรุนแรงขึ้น และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หดตัวลึกและยาวนานยิ่งขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้
โดยพัฒนาการสำคัญที่ส่งผลให้ต้องมีการปรับลดคาดการณ์ GDP ลงในครั้งนี้ มาจากการที่...
1. เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงกว่าที่เคยคาดไว้ จากตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง ทำให้หลายประเทศมีการประกาศมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ Bank of America ล่าสุดปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศหลักลงอย่างหนัก โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะติดลบถึง 6 เปอร์เซ็นต์ สหภาพยุโรปติดลบที่ 7.6 เปอร์เซ็นต์ และเศรษฐกิจจีนคาดจะขยายตัวได้เพียง 1.2 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะหดตัวถึง 2.7 เปอร์เซ็นต์ จากการประมาณการครั้งก่อนที่คาดขยายตัว 0.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเป็นการหดตัวที่รุนแรงยิ่งกว่าในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2009
2. มาตรการปิดเมืองและระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ที่เข้มข้นขึ้น โดยรัฐบาลไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ มีการประกาศปิดร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆ เป็นวงกว้าง รวมถึงล่าสุดมีการประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้าและบริการภายในประเทศมากกว่าที่เคยประเมินไว้
3. การประกาศปิดการเข้าออกระหว่างประเทศ รวมทั้งการประกาศปิดเมืองในหลายจังหวัดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดข้ามจังหวัด จะส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศได้รับผลกระทบหนักขึ้นไปอีกจากที่เคยคาดไว้ในการประเมินครั้งก่อน
- โรงแรม-ร้านอาหาร-การค้า-ขนส่ง อ่วมหนัก! เสี่ยงว่างงานเป็นวงกว้าง
KKP Research รายงานต่อว่า เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 นี้ จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานเป็นวงกว้าง โดยภาคธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร ภาคการค้า และภาคการขนส่ง มีการจ้างงานรวมถึง 10.1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 30 เปอร์เซ็นต์ ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ และในจำนวนนี้เป็นการจ้างงานนอกระบบถึง 5.6 ล้านคน หรือ 55 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อธุรกิจเหล่านี้จะส่งผลให้แรงงานจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้างหรือถูกขอให้หยุดงานชั่วคราว
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ภาคการผลิต ภาคการก่อสร้าง และบริการอื่นๆ ก็จะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงด้วยเช่นกัน โดย KKP Research คาดว่าอาจมีการว่างงานสูงถึง 5 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 13 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงกลางปีนี้ ก่อนที่สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
- มาตรการเร่งด่วนที่จะช่วยธุรกิจไทยฟื้นวิกฤต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐได้มีมาตรการด้านโยบายการคลังและการเงินออกมาเพื่อตอบสนองกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ KKP Research มองว่ายังมีความจำเป็นที่ต้องมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนในสามด้านใหญ่ คือ
1.ทบทวนและจัดสรรงบประมาณอย่างเร่งด่วนให้กับงานด้านสาธารณสุขเพื่อสร้างความสามารถในการตรวจสอบความเชื่อมโยง คัดแยก และรักษาผู้ติดเชื้อ และจัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมและมีคุณภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้การควบคุมการระบาดของโรคทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.มีมาตรการทางการคลังระยะสั้นเพื่อเยียวยา และลดภาระของผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ รวมไปถึงเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรองรับแรงงานในระยะต่อไป
3.จัดเตรียมมาตรการด้านการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในระบบการเงิน เช่น เตรียมมาตรการรองรับปัญหาการขาดสภาพคล่องในตลาดการเงิน มาตรการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการผลักดันสภาพคล่องในระบบการเงินช่วยเหลือธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสถานการณ์ COVID-19 นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะพิสูจน์ความเข้มแข็งของตัวเอง ขอให้ประคับประคองธุรกิจ และรอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าภายหลังพายุสงบ SME ไทยจะกลับมาเป็นหน่วยธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีภูมิคุ้มกันชั้นเยี่ยม ในการรับมือกับปัญหาที่ใหญ่กว่าในอนาคต เราจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี