Main Idea
- เอกา โกลบอล (Eka Global) คือบริษัทคนไทยที่กลายเป็นบริษัทระดับโลก หลังปี 2562 ได้เข้าซื้อกิจการ พริ้นท์แพค เอเชีย ทำให้กลายเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิด Longevity Packaging รายใหญ่ของโลก เบอร์ 1 ในเอเชีย ที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 2,500 ล้านชิ้นต่อปี
- วันนี้พวกเขามุ่งมั่นที่จะนำพา SME ไทย ให้เติบใหญ่และแข่งขันได้ในระดับโลก ด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหาร เพื่อรักษาคุณภาพอาหารให้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ผลิตอาหารให้สร้างโอกาสในการขายได้อีกมากในอนาคต
จะดีแค่ไหนถ้าขนมไทยอย่าง ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น และสารพันของหวานแสนอร่อย จะส่งไปเสิร์ฟคนไทยในแอลเอ เบอร์ลิน และเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยที่ไม่ต้องพึ่งระบบโฟรสเซน (Frozen Food) ไม่ต้องมีห้องเย็น แต่สามารถวางขายอยู่ในอุณหภูมิปกติได้ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ถึง 2 ปี
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ใจ แต่เป็นพัฒนาการที่ก้าวไกลของโลกแพ็กเกจจิ้ง ที่เรียก Longevity Packaging ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Rigid Barrier Plastic Packaging) ช่วยยืดอายุอาหาร เป็นนวัตกรรมที่ช่วยรักษาคุณภาพอาหารได้ยาวนานบนชั้นวางสินค้าโดยไม่ต้องอยู่ในตู้แช่แข็ง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ผลิตอาหารให้สร้างโอกาสในการขายได้มากกว่าเก่า
เรารู้จักโลกของแพ็กเกจจิ้งได้กว้างขึ้น เมื่อได้พูดคุยกับ “ชัยวัฒน์ นันทิรุจ” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (www.eka-global.com) บริษัทคนไทยที่กลายเป็นบริษัทระดับโลก หลังปี 2562 พวกเขาได้เข้าซื้อกิจการสัญชาติอเมริกัน พริ้นท์แพค เอเชีย ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ เอกา โกลบอล กลายเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิด Longevity Packaging รายใหญ่ของโลก เบอร์ 1 ในเอเชีย ที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 2,500 ล้านชิ้นต่อปี โดยมีโรงงานทั้งในไทย จีน และสำนักงานขายที่อินเดียในปัจจุบัน
เมื่อยักษ์ใหญ่ เอกา โกลบอล จะเข้ามารุกตลาด SME
โรงงานสะอาดสะอ้าน มาตรฐานญี่ปุ่นขนานแท้ ถูกเปิดต้อนรับ SME Thailand สิ่งที่ทักทายเราอยู่ในห้องกระจก คือเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ใช้คนจำนวนไม่มาก แต่มีกำลังการผลิตสูงติดอันดับโลก จนไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นบริษัทของคนไทย ที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ทั้งในไทยและระดับโลก เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ไปห่อหุ้มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งหลายคนคุ้นตาดี ทั้งในรูปอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) อาหารสัตว์ บรรจุภัณฑ์สำหรับผลไม้แปรรูป อาหารเด็ก ข้าวหุงสำเร็จ ปลาและอาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม และอื่นๆ โดยมีแนวคิดคือ ไม่ใช่แค่ขายบรรจุภัณฑ์ แต่เป็นการสร้างโซลูชั่น (Solution) และแวลู่ (Value) ให้กับลูกค้า
และในวันนี้บริษัทที่เคยจับแต่ลูกค้ารายใหญ่ บอกกับเราว่า มีความตั้งใจอย่างมากที่จะเข้ามาช่วย SME ไทย เพื่อให้ก้าวไกลสู่ระดับโลกด้วยพลังอำนาจของบรรจุภัณฑ์นวัตกรรม
“ผมไปได้แรงบันดาลใจนี้มาจากที่อินเดีย โดยลูกค้าของเราที่อินเดีย เขาเริ่มจากเป็น SME เล็กๆ ทำขนมหวานขาย สมัยก่อนเขาซื้อเราแค่หลักหมื่นหลักแสนใบต่อปี แต่วันนี้เขากลายเป็นโรงงานใหญ่โตทำสัญญาซื้อต่อปีเป็นสิบล้านใบ สามารถส่งออกไปที่อเมริกา อังกฤษ และประเทศที่คนอินเดียอยู่กันเยอะๆ ได้ ซึ่งขนมไทยก็เป็นลักษณะนี้เหมือนกัน แต่ที่ผ่านมา SME เราไม่สามารถส่งออกได้ อย่าว่าแต่ส่งออกเลย แค่ส่งไปขายไกลๆ ยังทำไม่ได้เลย จะส่งไปทีก็ต้องใช้รถที่มีตู้เย็น บางทีตู้เสียของก็เสียหายหมด และยังต้นทุนสูงอีก ส่งไปถึงก็ต้องเอาเข้าตู้เย็นเพราะไม่อย่างนั้นมันจะเสีย นี่คือข้อจำกัด แต่บรรจุภัณฑ์ของเราสามารถรักษาคุณภาพอาหารได้โดยไม่ต้องเอาเข้าตู้เย็น สามารถขนส่งไปในอุณหภูมิปกติ จึงเพิ่มโอกาสในการขายของเขาได้มากขึ้น” เขาบอกนวัตกรรมที่จะมาดิสรัปต์โลกของ SME กลุ่มอาหารให้เปลี่ยนไปจากเดิม
ทำไมถึงเลือกมุ่งความสนใจมาที่กลุ่มขนมหวาน เขาบอกว่า ถ้าเป็นอาหารทั่วไปที่มีความเป็นกรดต่ำ (Low acid food) จำเป็นต้องผ่านการฆ่าเชื้อถึงจะทำให้เชลฟ์ไลฟ์ของสินค้าอยู่ได้นานขึ้น แต่สินค้าที่เป็นกลุ่มขนมหวาน ส่วนใหญ่ไม่ต้องการการฆ่าเชื้อ แต่ต้องการแพ็กเกจจิ้งที่ดี ที่สามารถกันน้ำ กันอากาศได้ ซึ่งสามารถอยู่ได้นานถึง 3 เดือน จึงลดอุปสรรคขนมไทยที่อยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน ขณะที่บางชนิดอยู่ได้นานแค่ระดับไม่กี่ชั่วโมงก็พร้อมจะเสียได้ง่ายๆ แล้ว ทำให้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายเล็กอย่าง SME ได้
โลกของนวัตกรรมที่ SME เข้าถึงได้
เมื่อไรที่มีการเปลี่ยนแปลงหมายถึงการต้องลงทุน และนั่นเองที่ทำให้ SME ซึ่งสายป่านสั้น และมีกำลังทรัพย์กำลังคนไม่เหมือนบริษัทใหญ่ จำเป็นต้องดึงสติกลับมาอยู่ที่เดิม ไม่สามารถก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ชัยวัฒน์ บอกเราว่า เขาเข้าใจถึงปัญหานี้ดีและพยายามมองหาโซลูชั่นที่จะช่วย SME ไทยได้ โดยเป้าหมายของพวกเขาคือการให้ SME ได้ใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารจาก เอกา โกลบอล เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้กับธุรกิจของตัวเอง ซึ่งหากเป็นบริษัทใหญ่ต้องสั่งในปริมาณมากๆ แต่สำหรับ SME สามารถสั่งในจำนวนที่น้อยลงได้ โดยราคาแพ็กเกจจิ้งนวัตกรรมจะสูงกว่าแพ็กเกจจิ้งทั่วไปที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่สามารถเพิ่มโอกาสในการขายจากอายุการจัดเก็บที่นานขึ้น ขณะที่อุปกรณ์ที่ต้องมีก็คือเครื่องซีล ซึ่งเขาบอกว่าอยู่ที่หลักประมาณ 4 แสนบาท ซึ่ง เอกา โกลบอล ไม่ได้ทำขาย แต่สามารถช่วยแนะนำให้กับ SME ได้
“ถามว่าแพ็กเกจจิ้งพวกนี้แพงกว่าปกติไหม อาจจะแพงกว่านิดหน่อยแต่อายุยาวนานขึ้นนะ โดย SME สามารถส่งไปขายได้ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก รวมถึงตลาด CLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) นี่สบายเลย ไม่ต้องมองไกลถึงอเมริกาหรอก เพราะแค่ CLMV ก็เป็นตลาดที่ใหญ่มากแล้ว และคนก็กินขนมไทยกันเยอะมากด้วย ซึ่งเมื่อเก็บสินค้าได้นานขึ้น SME ก็จะสามารถผลิตได้ล็อตใหญ่ขึ้น โดยที่ไม่ต้องลงทุนทำห้องเย็นในการเก็บสินค้า เพราะสามารถเก็บในอุณหภูมิปกติได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนลงได้อีกเยอะมาก
ผมมองว่าขนมไทยปกติมันทำยาก และคนไม่ค่อยทำกินกันในบ้าน ฉะนั้นเริ่มจากขนมไทยนี่แหล่ะ เพราะยังไม่มีการเก็บในเชลฟ์ไลฟ์แบบนี้ จึงยังเป็นโอกาสของ SME ที่มีเงินในกระเป๋าไม่มากนัก ซึ่งเร็วๆ นี้เราจะเปิดโรงงาน และเชิญ SME มาดูวิธีการเลย จะมีเครื่องซีลให้ดู มีทำตัวอย่างออกมาให้ดูกันเลย ซึ่ง SME สามารถเอาสินค้าของตัวเองมาทดลองได้ด้วย โดยตัวบรรจุภัณฑ์เองเราก็มีแบบให้เยอะมาก เขาสามารถมาเลือกใช้ได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนเรื่องค่าแม่พิมพ์อีกแล้ว” เขาบอก
นอกจากขนมหวาน ยังมีอะไรที่ SME สามารถทำได้อีก เขายกตัวอย่าง ของคาวที่เป็นสแนคได้คูลๆ อย่างแคบหมูกับน้ำพริกหนุ่ม ที่สามารถวางคู่กันในกล่องยืดอายุเพื่อให้รับประทานได้ง่ายตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อส่งออกไปขายได้ไกลกว่าเก่า
เพิ่มศักยภาพ SME ไทยสู่การแข่งขันในระดับโลก
วันนี้โลกของบรรจุภัณฑ์ก้าวไปไกล และมีนวัตกรรมที่เกิดจากฝีมือคนไทยพร้อมเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยใช้สร้างแต้มต่อในเวทีโลกได้อีกมาก ชัยวัฒน์ บอกเราว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังแข่งขันกับตลาดโลกไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการด้วยกันเอง ฉะนั้นสิ่งที่ SME ต้องทำ คือปรับตัว เรียนรู้ และยกระดับตัวเองให้ไปสู่การแข่งขันในระดับโลกให้ได้
และการที่จะไปถึงจุดนั้นได้ผู้ประกอบการต้องเริ่มจากมีวิสัยทัศน์ เช่นเดียวกับ เอกา โกลบอล ที่มาถึงวันนี้ได้แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานมาหลายปี ก็เริ่มจากหัวใจเดียวกันนี้
“วันนี้เรากำลังต่อสู้กับระดับโลก ซึ่งสิ่งที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ได้ เริ่มจากต้องมีวิสัยทัศน์ก่อน ถ้าเราอยากเป็นผู้นำในการทำธุรกิจ เราต้องหาธุรกิจที่ทำยากๆ จากประสบการณ์ของผม ทำธุรกิจที่มันง่าย เราจะมีคู่แข่งเยอะ ทุกอย่างมันมีอุปสรรคหมด แต่ถ้าเราหาธุรกิจที่มันทำยาก ถ้ามันสำเร็จเราจะเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ ต่อมาคือเราต้องทำธุรกิจที่มีอนาคต ต้องเชื่อมั่นและต่อสู้ เพราะอุปสรรคมันจะเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน การเงิน หรือการตลาด ฉะนั้นใจเราต้องสู้จริงๆ และสู้ทุกรูปแบบ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ถ้าใจสู้” เขาย้ำ
สำหรับธุรกิจในปีนี้เขาตั้งเป้าที่จะโตไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่รวมลูกค้า SME เพราะเชื่อว่า ถ้าสามารถเปลี่ยนลูกค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ทั่วไป ให้มาใช้ Longevity Packaging กับ เอกา โกลบอล ได้ ก็จะสามารถขยายตลาดให้เติบโตได้อีกมาก และตลาดนี้ยังคู่แข่งน้อย และต่อให้ใครจะเข้ามาแข่งขันก็ช้าไปแล้วที่จะไล่ตามหลังคนเริ่มมาก่อนอย่างพวกเขา
“ถามว่ายังมีอะไรที่ยังอยากทำไหม ตอนนี้ผมอยากทำเกี่ยวกับ SME นี่แหล่ะ อยากทำมาก ตลาดจะดีไม่ดีก็เป็นอีกเรื่อง แต่ผมคิดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วย SME ของบ้านเราได้ สำหรับเราไม่ได้ต้องการเป็นผู้ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่อยากเป็นผู้ให้บริการแบบ Total Solution และสร้างมูลค่าให้กับลูกค้า และวันนี้เราก็อยากสร้างมูลค่าให้กับลูกค้า SME เช่นกัน
เพื่อให้เขาเติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก” เขาบอกในตอนท้าย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี