PHOTO : นิตยา สุเรียมมา
Main Idea
- ถ้าพูดถึงเรื่อง “ศาสนา” สิ่งที่ตามมาก็คงเป็นพิธีกรรมตามความเชื่อ อย่างการทำความเคารพต่อศาสดา โดยบางศาสนานั้นมีกฎเกณฑ์ทุกวันและวันละหลายๆ รอบ อย่างเช่น ชาวมุสลิมที่ต้อง “ละหมาด” ทุกวันนั่นเอง
- จากที่ต้องนั่งคุกเข่าละหมาดทุกวัน วันละหลายเวลา ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการลงน้ำหนักของเข่า นี่เองจึงเป็นที่มาของ “Aynkneerest” นวัตกรรม 2 in 1 ที่รองนั่งละหมาด + หมอนรองเข่า เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว อีกทั้งยังสามารถพกพาไปได้สะดวก แถมรูปลักษณ์สวยงามตามศิลปะแบบชาวมุสลิมอีกด้วย
ธุรกิจเกี่ยวกับศาสนาถือเป็นอีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจ เพราะด้วยพิธีกรรมหรือความเชื่อที่มักจะต้องมีสินค้ามาสร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชนผู้นับถือ เช่นเดียวกับศาสนาอิสลามที่มีช่องทางในการทำธุรกิจที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหารแช่แข็งที่ต้องใช้ในเดือนรอมฎอน (ศีลอด) หรือจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่น อาทิ ฮิญาบ หรือผ้าคลุม รวมถึงเครื่องประดับอื่นๆ ซึ่งได้รับความสนใจขึ้นมากในปัจจุบัน
หมอนรองเข่าละหมาด จากแบรนด์ Aynkneerest (อาย-นี-เรส) ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของชาวมุสลิมที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยเกิดจากจุดมุ่งหมายที่ต้องการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพเกี่ยวกับเข่าที่ต้องใช้ในการทำพิธีในทุกวัน ซึ่งถ้าเป็นที่รองนั่งแบบเดิมจะเป็นแค่เพียงผ้าผืนบางๆ เท่านั้น หรือถ้าเป็นแบบหนาก็จะไม่สะดวกต่อการใช้งานนักเมื่อต้องเดินทางไปในพื้นที่อื่น
โดยเจ้าของความคิดที่ต้องการเปลี่ยนผ้าปูละหมาดให้เป็นหมอนรองนั่งที่นำนวัตกรรมจากยางพารามาใช้ คือ ฮณา ฮารีส อดีตครูสอนพิเศษที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจที่อยากจะสร้างประโยชน์ให้กับชาวมุสลิม
“จุดเริ่มต้นการทำธุรกิจหมอนรองนั่งละหมาด เริ่มจากที่ตอนนั้นเราท้อง 7 เดือนแล้วตรงกับเดือนรอมฎอนที่ต้องละหมาดมากกว่าวันธรรมดาทั่วไป ซึ่งด้วยน้ำหนักของคนท้อง 7 เดือนที่ต้องมาทำท่าละหมาดคุกเข่าขึ้นลงมัน ซึ่งทำให้ไม่สะดวกจะลงตรงๆ เหมือนคนปกติ อีกทั้งเรายังต้องพยายามรองรับน้ำหนักของทั้งลูกและเราไปพร้อมกัน สิ่งที่ตามมาคือ อาการเจ็บเข่า เพราะแรงเสียดสีลงที่พื้น ซึ่งมันทำให้เราเสียสมาธิเวลาที่เรากำลังระลึกถึงพระเจ้า” เธอเล่าที่มาให้ฟัง
โดยหลังจากนั้นฮณาได้ลองเข้าไปสำรวจตลาด พบว่า ที่รองนั่งส่วนใหญ่ในตลาดจะเป็นผ้าปูละหมาดแบบบางมากๆ แต่ถ้าเป็นแบบหนาก็จะพกพาไปไหนไม่สะดวก เพราะถึงแม้ว่าในปัจจุบันเมื่อชาวมุสลิมต้องเดินทางจะมีการลดลงให้จากที่ต้องละหมาด 4 เวลามาเป็น 2 เวลาแต่ก็ยังคงการละหมาดไว้เช่นเดิม ดังนั้นเธอจึงลองเข้าไปสอบถามชาวมุสลิมหลายคนว่าเจอปัญหาเหมือนกันรึเปล่า ซึ่งคำตอบที่ได้มา คือ ผู้ใหญ่ที่อายุมากๆ ล้วนเกิดอาการเจ็บเข่า ซึ่งรบกวนการละหมาดด้วยกันทั้งสิ้น
“ถึงแม้ว่าหลายๆ คนจะยังงอเข่าหรือว่าพับเข่าได้ แต่ว่าก็ไม่สามารถจะคุกเข่าลงแล้วหลีกเลี่ยงการเสียดสีได้ หลายคนเลยเลือกที่จะนั่งละหมาดแทนการก้มกราบ ซึ่งจริงๆ แล้วการที่ทุกคนได้ก้มกราบมันจะรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราเคารพมากกว่าด้วยสมาธิที่รู้สึกมีผลทางจิตมากกว่าการนั่งละหมาดแบบธรรมดา”
และด้วยความที่อาชีพของที่บ้านขายผ้าละหมาดอยู่แล้ว เธอจึงทดลองหาผ้า หาฟองน้ำเพื่อมาทดสอบการก้มกราบว่าสามารถลดการเสียดสีได้ไหม แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะฟองน้ำนิ่มเกินไปทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่เข่าได้เพียงพอ จากนั้นเธอจึงคิดต่อว่าถ้าเป็นยางพาราหรือเป็นโฟมยางน่าจะได้ผลดีกว่า เธอจึงติดต่อไปที่ PATEX ที่ขึ้นชื่อเรื่องยางพาราที่ดีและมีคุณภาพแถมยังมีอายุการใช้งานถึง 10 ปี เธอจึงตัดสินใจเข้าไปปรึกษาเพื่อหาหมอนรองนั่งที่ขนาดเหมาะสม มีการทดสอบลองใช้งานจริงอยู่หลายครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มานั้นเกินกว่าที่คาดไว้มาก
“เราเข้าไปขอคำปรึกษาว่าต้องใช้ความหนาเท่าไหร่ จะต้องใช้กี่ชั้น แล้วก็มาทดสอบดูว่าควรจะเป็นแบบไหน แล้วก็ทำให้มันง่ายขึ้น โดยทำเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดาแถมยังมีขนาดที่เล็กจึงทำให้สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก ไม่ว่าจะใส่ไว้ในรถหรือในกระเป๋าเดินทาง แถมยังมีน้ำหนักที่เบามากๆ จากนั้นเราก็ไปหาผ้ากำมะหยี่ เพราะว่าผ้ากำมะหยี่เป็นผ้าที่มีขนรองรับทำให้เกิดความนุ่ม แล้วยังดูสวยด้วยความมันวาว ซึ่งทำให้ดูน่าใช้มากขึ้น”
ฮณาเล่าต่อว่า ในช่วงแรกนั้นเธอได้สร้างผลิตภัณฑ์ออกมาขาย 2 อย่าง คือ หมอนรองเข่าละหมาด และกระเป๋าผ้าปูละหมาด ต่อมาจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีสะดวกมากขึ้น โดยการจับเอาสินค้าทั้ง 2 ชิ้นนี้เข้ามารวมอยู่ด้วยกันกลายเป็นกระเป๋าผ้าปูละหมาดแบบพกพา 2 in 1 ที่มีทั้งหมอนรองเข่าและผ้าปูไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ใส่คำภีร์อัลกุรอาน ลูกประคำ หรือหนังสือเรียนด้วยก็ได้ เพราะว่าผู้ใหญ่ที่อายุมากๆ มักจะเข้าไปเรียนศาสนาที่มัสยิดเพิ่มเติม ซึ่งกระเป๋าผ้าปูละหมาดนี้ตอบโจทย์การใช้งานเป็นอย่างมาก
ในส่วนของการตอบรับถือว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากคนมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันนั้นมีออเดอร์สั่งกระเป๋าผ้าปูละหมาดเข้ามาหลายชิ้นด้วยกัน แต่ในตอนนี้เธอยังติดขัดในเรื่องการผลิตที่ต้องใช้คนจำนวนมาก โดยได้มีการแก้ไขปัญหาด้วยการติดต่อไปที่เรือนจำจังหวัดปัตตานีให้เป็นผู้ผลิตให้และได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว แต่ยังติดอยู่ในขั้นตอนการหาเครื่องจักรที่พร้อมก่อนเท่านั้น โดยเธอตั้งเป้าที่จะส่งออกไปยังมาเลเซียก่อนเป็นอันดับแรก พร้อมกับอาหารแช่เข็งที่เป็นธุรกิจหลักของครอบครัวเธอด้วย
ใครจะเชื่อว่าจากครูสอนพิเศษจะกลายมาเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งเธอมองว่าการที่เป็นครูมาก่อนนั้นมีส่วนช่วยในการทำธุรกิจมาก เพราะถึงแม้การทำธุรกิจกับการเป็นติวเตอร์จะต่างกันคนละสายงาน แต่การที่เธอได้สอนคนมาก่อนนั้นทำให้เธอเข้าใจคนมากขึ้น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยในการเจรจาทางการค้า การมองคน การรับมือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และมีผลต่อบุคลิกภาพและความคิดทั้งสิ้น
“จุดมุ่งหมายของเรา คือ ต้องการส่งออกทั้งอาหารแช่แข็งและกระเป๋าผ้าปูละหมาดไปยังประเทศมุสลิมต่างๆ เพราะเป็นธุรกิจที่มีลูกค้ามากมายบนโลก และยังเป็นประโยชน์ต่อคนอีกด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะแค่ในศาสนาอิสลามเท่านั้น ความจริงชาวพุทธ หรือคนที่ต้องการพกพาเพื่อไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ ก็สามารถดัดแปลงนำไปใช้ได้เช่นกัน”
ธุรกิจเกี่ยวกับศาสนาอิสลามถือมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อดูจากตัวเลขประชากรโลกทั้งหมด พบว่า มีจำนวนลูกค้าที่เป็นชาวมุสลิมมากถึง 23.2 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นประมาณ 1.6 พันล้านคน และจะมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งในส่วนสินค้าของชาวมุสลิมเองที่ผลิตออกมายังถือว่ามีอยู่น้อยมาก จึงเชื่อว่าถ้าผู้ประกอบการ SME สามารถเจาะเข้าตลาดมุสลิมได้ คุณจะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในเวลาไม่นานแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องศึกษาข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ของศาสนาด้วย เพราะทุกศาสนาล้วนมีข้อปฏิบัติ กฎข้อห้ามที่แตกต่างกันนั่นเอง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี