TEXT : กองบรรณาธิการ
Main Idea
- เป็นเวลากว่า 4 ทศวรรษมาแล้ว ที่ร้านน้องท่าพระจันทร์ สร้างความสุขและความทรงจำดีๆ ให้กับเหล่าคนรักเสียงดนตรี เวลาเดียวกับที่หลายธุรกิจต้องล้มหายตายจากไปจากโลกใบเก่า แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่
- SME Thailand ชวนคุยกับ “อนุชา นาคน้อย” เจ้าของร้านขายเทปในตำนาน “ร้านน้อง ท่าพระจันทร์” กับวิธีรับมือและอยู่รอดในโลกที่ทุกอย่างกำลังถูก “ดิสรัปต์” เพื่อเป็นธุรกิจมีตำนานได้แบบพวกเขา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ SME Thailand ได้พูดคุยกับ “อนุชา นาคน้อย” เจ้าของร้านขายเทปในตำนาน “ร้านน้อง ท่า
พระจันทร์” แต่ทุกครั้งที่ได้สนทนากัน เขามักมีคมคิดดีๆ ให้มาใช้ในธุรกิจอยู่เสมอ วันนี้การสัมภาษณ์มาในรูปแบบของภาพและเสียง เพื่อฟื้นตำนานร้านแห่งความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง
SME Thailand : ไลฟ์สไตล์การฟังเพลงของคนเปลี่ยนไป ธุรกิจเราได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร
อนุชา : วันนี้เราแยกกลุ่มคนฟังเพลงออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ไม่ยอมจ่ายอยู่แล้ว กับกลุ่มที่เน้นคุณภาพจริงๆ กลุ่มแรกไม่ยอมจ่ายเขาก็อาจจะฟังเพลงจากยูทูป หรือฟังจากสตรีมมิ่ง (Music Streaming) ซึ่งมีทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาฟังเพลงแต่ไม่ได้ลงในดีเทล ฟังเหมือนเปิดเพลงแค่ไม่ให้หูเงียบเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่ลูกค้าเราอยู่แล้ว แต่คนที่เป็นลูกค้าเราจริงๆ จะเป็นประเภทเก็บอาร์ตเวิร์ก เก็บทุกอย่าง เอาง่ายๆ แค่ขอบที่เป็นตัวคาดบอกว่าผลิตที่อเมริกาอย่างนี้ เขายังไม่แกะเลย กลุ่มที่ฟังเพลงด้วยความตั้งใจ เขาจะเก็บทุกอย่าง อยากเก็บซีดี อยากเก็บแผ่นเสียง เก็บเวอร์ชั่นอื่นๆ สมมติมีลิมิเต็ดเอดิชั่นออกมา เขาก็จะเก็บครบทุกอย่าง ซึ่งกลุ่มคนกลุ่มนี้ยังมีอยู่ ธุรกิจของเราจึงยังอยู่ได้
SME Thailand : ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เคยคิดออกจากธุรกิจนี้บ้างหรือไม่
อนุชา : ไม่เคยคิดหรือรู้สึกอยากออกจากธุรกิจนี้เลย แต่อยากทำอะไรเพิ่มมากกว่า เคยคิดอยากทำร้านกาแฟเพิ่ม แบบที่รอบๆ ข้างเขาเปิดกัน มันก็คงน่าสนุกดี แต่พอมาคิดๆ ดู มันอาจจะไม่ใช่แนวที่เราถนัดเท่าไร เพราะเราไม่ใช่คนที่ดื่มกาแฟแบบจริงๆ จังๆ ขนาดนั้น มันไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งที่เราเป็นคือการฟังเพลง ต้องบอกว่า ค่อนชีวิตพี่อยู่กับดนตรีมาตลอด วันนี้ธุรกิจเรา 41 ปี สำหรับคนวัยหนึ่งก็ควรใกล้เกษียณแล้ว แต่พี่ก็ยังฟังเพลงอยู่ ที่บ้านพี่ทุกห้องมีเครื่องเล่นเทป ซีดี บ้านจะไม่เคยเงียบ แต่มีเพลงเปิดอยู่ตลอดเวลา เลยรู้สึกว่า การที่มาทำงาน มันเหมือนแค่เปลี่ยนโลเคชันเท่านั้นเอง ทำให้เราได้เจอคนที่ฟังเพลงเหมือนๆ กัน เจอคนที่มีทัศนคติในการฟังเพลง ทำให้แลกเปลี่ยนกันได้ เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นการทำงาน แต่เป็นเรื่องของความสุขที่เรามาแบ่งปันกัน ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องหยุดเมื่อไร พี่คงทำไปตลอด ห่วงอย่างเดียวคือ พอร่างกายเราไม่ไหว เราจะมาทำอย่างนี้ได้ยังไงแค่นั้นเอง
พี่เข้าใจว่ามนุษย์เรามันไม่ได้กินใช้เยอะ สิ่งที่เราได้จากธุรกิจนี้มันมีกำไรของตัวมันเอง หักค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็ยังพอเลี้ยงตัวมันไปได้ มันอาจจะไม่ได้ร่ำรวย เพราะพี่ไม่ได้เป็นผู้ผลิต มันอาจจะไม่ได้มีเงินเหลือมากมาย แต่เรามีความสุข มันก็ทำให้เราอยู่ได้ โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าอึดอัดอะไร
SME Thailand : ทำไมวันหนึ่งร้านของเราถึงกลายเป็นที่รู้จักของลูกค้าต่างชาติ
อนุชา : สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีจากวิวัฒนาการที่เกิดขึ้น คือออนไลน์มันทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยตอนนี้พี่มีลูกค้าที่เป็นคนญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ที่อาจจะมาหาเรา 2-3 เดือนครั้ง เพื่อมาซื้อเพลงไทยไปฟัง เราได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ซึ่งปกติจะมีแต่คนไทย แต่วันนี้มีต่างชาติที่เขาตั้งใจเสพเพลงจริงๆ มาซื้อไปเป็นของฝากเพื่อนฝูงบ้าง อย่างพี่มีลูกค้าญี่ปุ่น เขามีช่องของเขาที่เปิดเพลงไทยโดยเฉพาะ มันทำให้เรากว้างไกลขึ้น และได้เสพเพลงที่หลากหลายขึ้น สมัยก่อนเราฟังเพลงจากวิทยุถูกไหม แต่วันนี้เราฟังจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้เราเลือกฟังเพลงได้เยอะขึ้น เราได้ฟังเพลงคล้ายๆ กัน แต่เป็นภาษาอื่นเพิ่มขึ้น ผมมองว่ามันเป็นข้อดีนะ แต่ว่าคนทำเพลงอาจจะต้องขยันเพิ่มขึ้นอีก เพราะว่าคุณไม่ได้แข่งกับคนไทยแต่คุณแข่งกับคนทั้งโลก ถามว่าทำไมลูกค้าต่างชาติถึงเลือกมาที่ร้านเรา ผมมองว่า เพราะร้านเรามีของที่เขาตามหาน่าจะเกือบครบ เพลงทุกแนว ศิลปินอินดี้เกือบทุกวง ผมเข้าใจว่า ในอายุการทำงานของผม และธุรกิจที่เข้าสู่ปีที่ 41 มันน่าจะตอบโจทย์คนฟังเพลง ซึ่งถ้าเขามาด้วยโจทย์ที่ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองมากมาย ผมว่าเขาน่าจะได้อะไรใหม่ๆ กลับไป
SME Thailand : มีหลักบริหารจัดการอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดมาได้ถึงกว่า 40 ปี
อนุชา : มองว่ามันอยู่ที่การเจียมตัวของเรา พี่มองว่าชีวิตมนุษย์ค่าอาหารแต่ละมื้อมันไม่ได้แพงมากมาย ฉะนั้นถ้าคุณทำงานแล้วมีความสุข มีค่าใช้จ่ายพอมาซัพพอร์ตธุรกิจได้ ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่ฝัน เพราะต่อให้คุณร่ำรวยมากมาย แต่ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่พี่ทำคือมีความสุขในการใช้ชีวิต บางครั้งอาจจะแบบลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้าง แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็เช้าแล้ว
ในการทำธุรกิจ มันมีช่วงที่ขึ้นและช่วงที่นิ่งๆ แต่พี่ว่าเราก็ยังต้องทานอาหารเท่าเดิม อันนี้ในมุมมองส่วนตัวนะ ฉะนั้นมันไม่ได้มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าการที่เรามีเยอะๆ จะทำให้ทุกคนยอมรับเรา หรือเรามีเงินน้อย แล้วทุกคนจะไม่ยอมรับเรา พี่ว่าการที่มีคนยอมรับเราในสิ่งที่เราเป็น มันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า และอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
สำหรับในโลกที่หลายธุรกิจถูกดิรัปต์อย่างวันนี้ พี่มองว่า ถ้าจะไม่ไปต่อก็คือ ทุกคนเลิกทำเพลง อย่างวันนี้ค่ายเพลงเริ่มไม่มี ค่ายเพลงไม่ค่อยผลิตเพลง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เพลงไทยมันหายไปเพราะเขาไม่ได้สนใจตลาดของการทำฟิสิคัล (physical) แล้ว แต่เขาเน้นทำสตรีมมิ่ง แล้วไม่ได้ทำเป็นอัลบั้มด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาคิดหนึ่งเพลง เพลงถัดไปเขาอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นเพลงในอัลบั้มเดียวกันเวลามาฟังมันก็ไม่ได้เกิดอารมณ์หรือรสชาติของเพลงเหมือนที่เราเคยฟังในยุคก่อน เปรียบเทียบก็เหมือนกับศิลปินหลายๆ คน ที่ยืนหยัดอยู่ได้อย่างทุกวันนี้ เพราะเขายังมีจุดยืนในการทำเพลงของเขา ถ้าเขาเปลี่ยนไปตามตลาด เขาก็อาจไม่ถูกการยอมรับก็ได้ ฉะนั้นพี่เชื่อว่าทุกอย่างมันต้องมีจุดยืน แล้วค่อยๆ ปรับให้มันเหมาะกับยุคสมัย ไม่ได้เปลี่ยนไปทุกอย่าง แล้วเราก็จะอยู่รอดได้
SME Thailand : มองอนาคตของร้านน้อง ท่าพระจันทร์อย่างไร
อนุชา : เราก็ยังคงทำมันอยู่จนพี่จะไม่มีแรงเดิน จะยังทำธุรกิจนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าทุกคนยังทำเพลง ยังมีศิลปินเกิดขึ้น ยังมีโรงเรียนดนตรีเกิดขึ้น และคนก็ยังฟังเพลง พี่ก็เชื่อว่า ยังมีช่องทางให้เราไปเป็นสื่อกลางได้ ยกเว้นแต่ทุกคนเริ่มไม่ฟังเพลงกันแล้ว ถึงตอนนั้นเราก็อาจจะอยู่ไม่ได้
พี่เชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจตอนนี้เขาเก่งๆ กันทั้งนั้น ธุรกิจของพี่อาจไปแนะนำอะไรเขาไม่ได้ บอกได้แค่ว่า สิ่งที่พี่ทำอยู่นี้ ทำให้เรามีความสุข โดยไม่ต้องไปขวนขวายอะไรมากมาย แค่ใช้ชีวิตแบบที่เราทำแล้วสนุกกับมัน ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขที่สุดแล้ว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี