Main Idea
- ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) โดยคาดว่ามีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- นั่นเองคือเหตุผลที่องค์กรต่างๆ รวมถึงผู้ประกอบการ SME ต้องรีบลุกขึ้นมาปรับตัวทำเรื่อง Digital Transformation เพราะหากอยากอยู่รอด ต้องดิสรัปต์ตัวเอง ก่อนจะถูกโลกดิสรัปต์
ความท้าทายของการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่ คือความพร้อมในการปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็ว เพื่อให้รับกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป สำหรับผู้ประกอบการ SME เรื่องนี้อาจไม่ใช่งานง่าย แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะถ้ายังทำอะไรแบบเดิม ไม่ปรับหรือขยับตัว ก็อาจถูกกลืนหายในโลกยุคใหม่ได้
“อย่ามองว่าเทคโนโลยีเป็นแค่เทคโนโลยี แต่ให้มองว่าเทคโนโลยีส่งผลกระทบเชิงลึกอย่างไรบ้างต่อชีวิตและธุรกิจของเรา หากอยากอยู่รอด ต้องดิสรัปต์ตัวเอง ก่อนจะถูกดิสรัปต์”
นี่คือมุมมองของ “Jaspreet Bindra” ผู้ก่อตั้ง Digital Matters บริษัทให้คำปรึกษาเรื่อง Digital Transformation ผู้มีประสบการณ์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กรอย่างมีกลยุทธ์และชั้นเชิงทางธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเป็นตัวช่วย เพื่อให้สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
โดยเขาย้ำว่า “ไม่มีองค์กรไหนที่จะสามารถพลิกโฉมธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาช่วย แต่ผู้นำองค์กรจะต้องเข้าใจกระบวนการทำ Digital Transformation ก่อนว่าการวางกลยุทธ์ทางดิจิทัล ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพียงเท่านั้น หากองค์กรอยากจะปรับเปลี่ยนต้องตระหนักถึง 3 หัวใจสำคัญของ Digital Transformation ที่จะต้องทำงานสอดคล้องประสานกัน”
- 3 หัวใจที่ว่า ประกอบด้วย
1. เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งผลต่อโมเดลธุรกิจ (Business Model)
โดยผู้ประกอบการจะต้องรู้จักมองหาเทรนด์และทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งถึงรูปแบบการใช้ชีวิต และความต้องการของพวกเขา เช่น การเติบโตของโมเดลธุรกิจแบบ Platform อันเกิดจากเทรนด์เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) ที่กำลังมาแรงในหมู่คนรุ่นใหม่ที่หันมาลงทุนกับประสบการณ์ที่เน้นการเช่า-ยืมแทนการครอบครอง เพื่อลดทรัพยากรส่วนเกิน (Excess Capacity) และจัดสรรให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. การให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า (Customer Experience)
โดยผู้ประกอบการต้องรู้จักวิเคราะห์ Consumer Journey และทำการวางรูปแบบตลาดให้สอดคล้องกันทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ (Online & Offline Strategy) เพราะทุกวันนี้เราไม่สามารถแยกสองเรื่องนี้ได้ในการวางกลยุทธ์องค์กร เนื่องจากชีวิตของคนในปัจจุบันล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับเรื่องออนไลน์และออฟไลน์ผสมผสานกันอยู่ตลอดเวลา
3. คนและวัฒนธรรมขององค์กร (People and Culture)
คนและวัฒนธรรมองค์กรนั้น ถือเป็นแกนหลักที่สำคัญที่สุด จนอาจพูดได้ว่าการทำ Digital Transformation ได้ประสบความสำเร็จต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย แต่การทำ Digital Transformation ที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะเหตุผลเดียวนั่นคือเรื่องของ “คน” ซึ่งนี่คือเรื่องของการเน้นการสร้างและปลูกฝังให้คนในองค์กรมีทักษะดิจิทัลที่จำเป็น ประกอบกับการมี Digital Mindset คือ ความกล้าลงมือทำ ไม่ยึดติด ไม่กลัวความล้มเหลว พร้อมเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะหากขาดกลยุทธ์และการวางแผนที่รอบคอบอาจกลายเป็นแค่การเปลี่ยนระบบการทำงานซึ่งเกิดประโยชน์น้อย
ด้าน “อริญญา เถลิงศรี” กรรมการผู้จัดการ SEAC (Southeast Asia Center) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) โดยในปีนี้มีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นั่นเองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องรีบลุกขึ้นมาปรับตัวทำเรื่อง Digital Transformation อีกทั้งเมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตและธุรกิจในทุกแง่มุมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่กับ Digital Transformation ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความเข้าใจเทคโนโลยี ตีความ และประยุกต์ใช้งานได้ (Digital Literacy) และการพัฒนาทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อทำให้การทำงานของเราดีขึ้น สะดวกขึ้น สิ่งสำคัญคือผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมให้ตัวเองและธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไม่มีสะดุด
SME ที่ไม่อยากตกยุค และอยากอยู่รอดอย่างแข็งแกร่งในโลกยุคใหม่ ลองเรียนรู้การดิสรัปต์ตัวเอง จาก 3 หัวใจ ที่กล่าวไปแล้วเหล่านี้ได้
ที่มา : SEAC
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี