สายกรีนกดเลิฟ! Replanetme แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่อยากเปลี่ยนคนไทยให้รักษ์โลก




Main Idea
 
 
  • คนยุคใหม่กำลังตื่นตัวเรื่องการลดใช้พลาสติกและปรับพฤติกรรมกันครั้งใหญ่เพื่อให้ธรรมชาติไม่แย่ลงไปกว่านี้ นี่จึงเป็นโอกาสทองสำหรับหลายธุรกิจที่เข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคและรักษ์โลกไปพร้อมๆ กัน
 
  • ‘Replanetme’ คือแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์สุดรักษ์โลกที่เกิดขึ้นมาจากคนที่อยากให้โลกใบนี้ปราศจากขยะพลาสติกแต่นอกเหนือจากการที่ธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ผู้คนหันมาลดละเลิกการใช้พลาสติกแล้ว สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อของรักษ์โลกแล้วต้องใช้อย่างถูกวิธีและทำให้กลายเป็นวิถีชีวิตในระยะยาวด้วย 




     หลายคนอาจมองว่าขยะพลาสติกคือผู้ร้ายตัวฉกาจที่ทำลายโลก แต่ความจริงแล้วโลกใบนี้กำลังถูกทำร้ายโดยน้ำมือของมนุษย์ที่ใช้พลาสติกจนล้นมือต่างหาก คนยุคใหม่กำลังตื่นตัวเรื่องการลดใช้พลาสติกและปรับพฤติกรรมกันครั้งใหญ่เพื่อให้ธรรมชาติไม่แย่ลงไปกว่านี้ นี่จึงเป็นโอกาสทองสำหรับหลายธุรกิจที่เข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคและรักษ์โลกไปพร้อมๆ กัน ‘Replanetme’ (รีแพลเน็ตมี) คือแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์สุดรักษ์โลกที่เกิดขึ้นมาจากคนที่อยากให้โลกใบนี้ปราศจากขยะพลาสติกอย่าง ภัทราทิพย์ พงษ์พานิช เธอคือคนที่หันมาสนใจเรื่องการจัดการขยะและลดละเลิกการใช้ถุงพลาสติกมาเกือบ 10 ปี





     “พอดีเราเป็นคนทำงานในค่ายอาสามาประมาณ 8 ปี ซึ่งเป็นค่ายอาสาช่วยโรงเรียน ส่วนใหญ่ก็สอนเด็กนักเรียน เราคิดว่าสอนอะไรดีที่จะทำให้ยั่งยืน เราก็สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ตอนทำค่าย เลยมีทั้งการสอนคอมพิวเตอร์ มีการแยกขยะ จัดระบบการแยกขยะให้โรงเรียน เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่จะขาดเรื่องการจ้างครู เราคิดว่าทำยังไงถึงจะมีเงินต่อเนื่อง เลยทำเรื่องการแยกขยะแล้วก็สร้างรายได้จากตรงนั้น จากนั้นโรงเรียนก็นำเงินตรงนั้นไปใช้ในการจ้างครูได้ ถ้าขายขยะได้เยอะก็จะมีรายได้ตรงนี้เยอะ แล้วทีนี้พอเราทำไปจนถึงจุดที่คิดว่าเราน่าจะมาทำเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงจังไปเลยเพื่อทำให้คนหยุดการใช้พลาสติกแล้วกิจการแบบนั้นก็น่าจะเหมาะกับเรา เราเองก็จะมีรายได้และตัด 5 เปอร์เซ็นต์เพื่อนำไปช่วยโรงเรียนด้วยเพราะยังไงเราก็มีการทำโปรเจกต์ค่ายอาสาทุกปีอยู่แล้ว กลายเป็นที่มาของการทำธุรกิจ Replanetme ในวันนี้” เธอเล่า
               




     Replanetme เป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่จะขายสินค้ารักษ์โลกเท่านั้นเพื่อลดการใช้พลาสติกให้ได้มากที่สุดเท่าที่ธุรกิจหนึ่งจะสามารถทำได้ ซึ่งหลอดและถุงพลาสติกคือขยะพลาสติกตัวร้ายที่สุดที่ทำลายโลกใบนี้ เนื่องจากย่อยสลายไม่ได้อีกทั้งยังกลายเป็นไมโครพลาสติกล่องลอยอยู่ในอากาศรวมถึงเข้าไปอยู่ในอาหารที่เรากินด้วย
               





     “พวกหลอดอันตรายที่สุดกับถุงพลาสติก ถุงนี่มาเป็นอันดับหนึ่งเลย เพราะเวลาที่คนทิ้งไปแบบไม่ถูกต้องก็จะไปอยู่ในกองขยะ เวลาฝนตกมันก็จะชะล้างแล้วไหลลงแม่น้ำหรือทะเล อย่างในคลิปวิดีโอก็สามารถไปดูได้เลยว่าปากทางกรุงเทพฯ ไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ถุงพลาสติกและขยะเยอะมาก แล้วก็ไหลลงสู่ทะเล จากนั้นปลาก็ไปกิน เต่าทะเลก็ไปกิน แล้วพลาสติกพวกนี้ผ่านไป 10 ปีมันจะย่อยกลายเป็นไมโครพลาสติก อันตรายมากๆ เพราะว่ามันเล็ก ตอนนี้มันลอยอยู่ในอากาศ เราก็สูดดมเข้าไปอยู่ในปอดเรา อยู่ในปลาแล้วเราก็กินเข้าไป กลายเป็นสารก่อมะเร็ง”
               




     นอกเหนือจากการที่ธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ผู้คนหันมาลดละเลิกการใช้พลาสติกแล้ว สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อของรักโลกแล้วต้องใช้อย่างถูกวิธีและทำให้กลายเป็นวิถีชีวิตในระยะยาวด้วย
               




     “เราก็จะเน้นขายสินค้าที่มันยั่งยืน เช่น หลอดซิลิโคน หลอดสเตนเลส ไม้ไผ่ ถุงพลาสติกเราก็แนะนำให้ใช้เป็นกล่องข้าว พกถุงซิลิโคนใส่น้ำแกง อะไรก็ตามที่สามารถใช้งานได้ยาวนานและไม่พังง่ายๆ ที่สำคัญคือลูกค้าต้องพกติดตัว เราเองก็ต้องให้ความรู้และข้อมูลแก่พวกเขาด้วยว่าซื้อไปแล้วต้องพกพา ไม่ใช่แค่ใช้ถุงผ้าแล้วจบ แต่ต้องมีทั้งกล่องข้าว ต้องมีหลอด มีกระบอกน้ำ มีถุงซิลิโคน นอกจากนี้เรายังมีสินค้าอื่นๆ ในชีวิตประจำวันอีกเช่น ถุงมือล้างจานที่ใช้แทนฟองน้ำ ถุงตาข่ายเอาไว้ไปช้อปปิ้งแทนการใส่ถุงพลาสติกชั่งกิโล สินค้าพวกนี้คือสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เราพยายามขายทุกสิ่งที่ลดการใช้พลาสติกแบบที่ใช้แล้วทิ้ง นอกจากนี้เรายังเน้นการขายถูกไว้ก่อน เพราะถ้าเราขายแพง ลูกค้าจะไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ต้องเน้นของดี ถูกและใช้ได้อย่างยั่งยืน”
               






      หากมองเผินๆ ธุรกิจรักษ์โลกอาจดูเหมือนเป็นโอกาสทองของใครหลายคน แต่ความเป็นจริงการจะทำให้ธุรกิจนี้ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งแรกที่คุณต้องมีคือหัวใจรักโลกที่แท้จริงถึงจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและดึงพวกเขาให้เข้ามาใช้สินค้าได้ตลอดไป
               





     “ถามว่ายากไหม ก็อาจจะยากเพราะเราต้องตอบคำถามลูกค้าเยอะมาก ต้องตอบให้เร็วและต้องไม่เบื่อที่จะตอบลูกค้า ธุรกิจนี้มันเป็นเรื่องของข้อมูล เราต้องพยายามให้ข้อมูลลูกค้า ต้อง Educate ลูกค้า สินค้าบางอย่างมันดูสวยก็จริง แต่เขาไม่รู้ว่ามันเอาไว้ทำอะไร เราก็ต้องให้ข้อมูล หัวใจสำคัญของเราจริงๆ คือการไม่หลอกลวงลูกค้า ต้องจริงใจ ข้อมูลอะไรเราต้องบอกหมด ไม่กั๊ก เช่น อันนี้ไม่ทนนะ หรืออันนี้ต้องเอาไว้ใช้ที่บ้าน ไม่ควรเอาไปใช้งานข้างนอก ถ้าอันไหนไม่ดี ไม่ทนก็จะเลิกขาย ผลิตแล้วไม่โอเคก็ยอมขาดทุน ต้องจริงใจกับผู้บริโภค ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่กลับมาซื้อเราอีก นี่คือการทำธุรกิจในระยะยาว ต่อไปนี้เราคงเห็นเทรนด์นี้ไปได้มากกว่านี้อีก ในที่สุดคนก็ต้องเลิกใช้พลาสติก แต่ก็จะมีบางคนที่ผลิตของออกมาแล้วบอกว่าย่อยสลายได้แต่ความจริงมันย่อยสลายไม่ได้แบบ เช่น วัสดุจากธรรมชาติแต่เอาไปผสมพลาสติกนิดหนึ่ง มันย่อยสลายได้ก็จริงแต่ต้องอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้นถึงจะย่อยสลายได้ มีหลายสิ่งที่หลอกลวงกันอยู่เยอะ เราจะไม่ขายของแบบนั้น”



 

     ภัทราทิพย์ปิดท้ายด้วยความมุ่งมั่นว่าเธอจะไม่หลอกลวงลูกค้าของเธออย่างแน่นอน
 
               

     ธุรกิจรักษ์โลกยังเป็นเทรนด์ของโลกที่ SME ต้องจับตา ใครอยากหาโอกาสในธุรกิจนี้ ลองนำไอเดียของ Replanetme ไปศึกษาเป็นแนวทางได้ เพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจน้ำดี ที่ไม่ใช่ได้แค่เรื่องธุรกิจ แต่โลกใบนี้ก็ดีไปพร้อมกับเราด้วย  
 





www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย