Main Idea
- จากเชฟร้านอาหารสู่ผู้ผลิตโคลนพอกหน้าที่ตั้งเป้าพาแบรนด์ไทยไปเฉิดฉายในระดับโลกตั้งแต่ Day 1! และนี่คือแบรนด์ Patapee Clay Mask โคลนพอกหน้าระดับพรีเมียมที่ใช้โคลนภูเขาไฟจากเหมืองแร่ของที่บ้านในจังหวัดลพบุรี
- นอกจากตัวโคลนพอกหน้า แล้วพวกเขาก็ได้มองเห็นโอกาสใหม่ที่ซ่อนอยู่ของแร่เบนโทไนต์ นั่นคือการที่พวกเขาสามารถพัฒนา บิดโมเลกุล จนได้แร่เบนโทไนต์ดีที่สุดในโลกตอนนี้
จากเชฟร้านอาหารสู่ผู้ผลิตโคลนพอกหน้าที่ตั้งเป้าพาแบรนด์ไทยไปเฉิดฉายในระดับโลกตั้งแต่ Day 1! นี่คือเรื่องราวของ กลยุทธ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ และ รัฐญา ทิพยรักษ์การ สองหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงที่ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ Patapee Clay Mask โคลนพอกหน้าระดับพรีเมียมที่ใช้โคลนภูเขาไฟจากเหมืองแร่ของที่บ้านในจังหวัดลพบุรี
โดยกลยุทธได้เริ่มต้นเปิดฉากเล่าเรื่องของตนเองว่าแต่เดิมตัวเขาเป็นเชฟและเปิดร้านอาหารอยู่ที่บ้านเกิดในอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ซึ่งวางแผนที่จะเปิดร้านอาหารร้านใหม่และจะมุ่งไปสู่การขายออนไลน์ แต่เมื่อตกผนึกแล้วหนทางนั้นช่างดูยากเย็น ด้วยระยะเวลาการเก็บรักษาไปจนถึงการขนส่ง ทำให้เขาพับโปรเจกต์ไปทั้งที่ตัวร้านเกือบจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ในขณะนั้นเอง รัฐญาจึงเข้ามาสะกิดต่อมไอเดียว่าทำไมไม่ลองเอาแร่เบนโทไนต์มาทำให้กลายเป็นธุรกิจเสียเลยล่ะ
“ตั้งแต่ช่วงยุคก่อน IMF แม่ผมได้ซื้อเหมืองแร่เบนโทไนต์มาไว้ แต่เรามีธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้ว ช่วงนั้น IMF ด้วย ทุกอย่างก็หยุดไป จนมาถึงช่วง 2-3 ปีนี้ที่เราทำร้านอาหารมาจนเริ่มต้นคิดที่อยากจะเปิดอีกร้านหนึ่งแล้วขายออนไลน์ดู แต่คิดไปคิดมายังไม่โอเค มันยังไม่เข้ากับโอกาสอะไรสักอย่าง เลยรื้อทุกอย่างใหม่เพราะอุ้ม (รัฐญา) มาบอกว่าเรามีเหมืองแร่เบนโทไนต์นะ ทำไมไม่ทำอะไรต่อ เราเลยเริ่มต้นไปศึกษาตัวเบนโทไนต์ ซึ่งแร่ตัวนี้มันเป็นแร่ที่สำคัญ อยู่ในเครื่องสำอางจำนวนมากและใช้กันทั่วไปอยู่แล้วแต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักว่ามันคือเบนโทไนต์ ซึ่งใช้กันมาเป็นพันปีแล้ว”
หลังจากนั้นกลยุทธจึงมุ่งมั่นศึกษาตัวแร่เบนโทไนต์อย่างจริงจังทั้งที่ไม่มีความรู้ด้านเครื่องสำอางติดตัวมาก่อน โดยเขาตั้งธงตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำว่าจะผลิตโคลนพอกหน้าจากดินไทยให้ไปอยู่ในระดับโลก
“เราเลยศึกษาและอยากผลิตตัว Clay Mask ซึ่ง Clay มันคือดิน เราจึงมองหาชื่ออะไรที่จะสื่อสารได้ตรงที่สุด ตอนที่เราทำมันตรงกับปีที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต เราจึงอยากทำอะไรตอบแทนคุณแผ่นดิน จึงทำให้เราได้ชื่อ แบรนด์ว่า ‘ปฐพี’ เพราะเราอยากจะเอาดินไทยไปอยู่ในระดับโลกให้ได้”
แต่เบื้องหลังการทำงานของปฐพีไม่ง่าย เพราะเมื่อได้ตัวแร่เบนโทไนต์จากเหมืองแร่ของที่บ้านในจังหวัดลพบุรีมาแล้วก็ต้องผ่านการ Purify ฆ่าเชื้อ ซึ่งกลยุทธและรัฐญาต้องการให้โคลกพอกหน้าของเขามีความเป็นธรรมชาติและไม่เจือปนด้วยสารเคมีใดๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาต้องตั้งโรงงานเพื่อผลิตเองตั้งแต่เริ่มต้น
“ด้วยความตั้งใจเราที่อยากเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและตัวนี้มันทำยาก ไม่มีที่ไหนรับสกัดแร่ให้เรา เราเลยต้องเซ็ตอัพโรงงาน ลงทุนเองเพื่อที่จะ Purify แร่ มันจึงเลยเถิดมาเป็นการตั้งโรงงานเพื่อทำให้สมบูรณ์ไปจนถึงตัว Finishing Product เลย ทั้งหมดเพื่อที่เราจะได้ควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน แต่ตัวเราเองทุนน้อย ก็ต้องรัดเข็มขัดทุกทาง เราต้องเปิดคู่มือ GMP โรงงาน ดูเลยว่าพื้นต้องหนาเท่าไหร่ ทำทุกอย่างตามมาตรฐาน พอเขามาตรวจ GMP ครั้งแรกก็ผ่านเลยเพราะเราเอามาตรฐานเป็นที่ตั้ง” เขาเล่าถึงตอนตั้งโรงงาน
อีกหนึ่งความยากที่กลยุทธถึงกับบอกว่า ‘เลือดตาแทบกระเด็น’ นั่นคือตอนพัฒนาแร่เบนโทไนต์ให้กลายเป็นโคลนพอกหน้าแบบที่เสร็จสมบูรณ์
“ในขั้นตอนที่จะเป็น Finishing Product นั้นเลือดตาแทบกระเด็นเลยเพราะเราไม่มีความรู้เลย OEM ก็ไม่ใช่ทางแถมเรายังอยากให้มันออกมาดีที่สุด ต้องคุมคุณภาพ จึงไปปรึกษา ส่งตรวจที่กรมวิทย์ฯ แบรนด์อื่นอาจจะตรวจ 3-4 รอบผ่าน แต่ของเราต้องส่งถึง 50 รอบ ส่งจนเขาบอกพอเถอะ เดี๋ยวพี่จะรับโครงการน้องไปพัฒนาต่อให้ เราแก้หลายรอบมาก เขาบอกว่าเชื้อผ่านแล้วแต่มันเกินค่ามาตรฐานเฉยๆ คือถ้ามันไม่ผ่าน เราก็ยังขอไม่ผลิตขาย เป็นปีกว่าจะผ่าน จนพอเรื่องเชื้อผ่าน เราก็มาแก้เรื่องที่ตัวโคลนไม่อุ้มน้ำ คือน้ำมันกระเด็น กระจุยกระจายเลย เราต้องใช้ Emulsifier ตัวประสานน้ำกับเครื่องสำอางให้เข้ากัน แล้วโจทย์คือทำยังไงก็ได้ให้ไม่ใช้สารเคมีเลย”
จากความพยายามทั้งหมด ในที่สุดแบรนด์โคลนพอกหน้าปฐพีก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณ์แบบไทยร่วมสมัยที่พร้อมจะออกไปถึงมือผู้บริโภคชาวไทยและชาวโลก โดยจุดเด่นของโคลกพอกหน้าปฐพีคือความเข้มข้นของเนื้อโคลนที่จะมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมันแต่ไม่แห้งตึง เพราะเขาจะทิ้งความชุ่มชื่นเอาไว้บนผิวหลังล้างออก นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องสิว ฝ้า กระเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากตัวโคลนพอกหน้า แล้วกลยุทธก็ได้มองเห็นโอกาสใหม่ที่ซ่อนอยู่ของแร่เบนโทไนต์ นั่นคือการที่พวกเขาสามารถพัฒนา บิดโมเลกุล จนได้แร่เบนโทไนต์ดีที่สุดในโลกตอนนี้!
“เรามีการศึกษาลึกลงไปพบว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเมืองไทยมีการนำเข้าเบนโทไนต์ปีหนึ่งราวๆ 700 กว่าล้าน นี่คือ Blue Ocean มาก ยิ่งกว่าโคลนพอกหน้าอีก เพราะตอนนี้ในไทยต้องนำเข้าหมดเลย ยังไม่มีใครสามารถผลิตได้ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของเราที่จะมุ่งพัฒนาแร่บริสุทธิ์ตัวนี้ให้ใช้กับเครื่องสำอางได้ เราก็ได้สถาบัน KAPI ของม.เกษตรฯ ช่วยพัฒนา แล้วก็มีการคุยกับกรมวิทย์ฯ หลายหน่วยงานมาก จนเราเจาะลึกลงในรายละเอียด พบกับนักวิจัย เขาก็ว้าวกับเบนโทไนต์เรามาก ช่วยกันจนในที่สุดอาจารย์ก็ได้ทำการบิดโมเลกุลเบนโทไนต์ที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก”
ความภาคภูมิใจขั้นสุดของพวกเขาในตอนนี้คือการนำพาแร่เบนโทไนต์ไปโชว์ที่งาน Cosmetic-360 ณ กรุงปารีสเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาพร้อมกระทบไหล่แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Chanel, Louis Vuitton แถมยังมีรางวัล SME Start up ครั้งที่ 3 เป็นการการันตีอีกด้วย
โดยกลยุทธได้ปิดท้ายถึงหัวใจของความสำเร็จสำหรับตัวเขาเองนั่นคือเรื่องของการศึกษาค้นคว้าและทุ่มเท ทำให้หน่วยงาน นักวิจัยได้มองเห็นความมุ่งมั่นและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแบรนด์ไทยไซส์เล็กให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แบรนด์จะสำเร็จได้ต้องเกิดจากการศึกษาอย่างเดียวเลย ต้องรู้ให้จริง รู้ว่าเราคือใคร เรากำลังทำอะไรและลงไปให้ลึก ทุกก้าวที่เราล้ม เราล้มไปข้างหน้า มันเข้าใกล้ความจริง เราได้ Connection มากขึ้น ได้รู้ความผิดพลาด มันใกล้ชัยชนะทุกวัน”
ซึ่งรัฐญาเสริมต่อว่าธุรกิจที่ไม่สำเร็จนั่นคือธุรกิจที่ล้มเลิกไปก่อน...
“เหมือนคุณกำลังก้าวไปข้างหน้าแต่อยู่ดีๆ ก็คิดว่าไม่เอาแล้ว ทั้งที่อีกก้าวเดียวจะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แต่คุณหยุดก่อน คุณก็เลยแพ้”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี