ถอดกลยุทธ์ Bangkok Bootery ล่าฝันพากระเป๋า Exotic แบรนด์ไทยสู้ไฮเอนด์ระดับโลก

TEXT : ขวัญดวง แซ่เตีย PHOTO : สรรค์ภพ จิรวรรณธร





Main Idea
 
 
  • ทายาทธุรกิจเครื่องหนัง รุ่นที่ 4  กำลังท้าทายกับโจทย์ที่ตัวเองตั้งไว้ นั่นคือการผลักดันให้แบรนด์เครื่องหนังไทยก้าวขึ้นไปเทียบรัศมีแบรนด์ดังระดับโลกให้ได้
 
  • สินค้าที่แพงที่สุดในร้านแบรนด์เนมไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ วิตตอง, ชาเนล, แอร์เมส หรือ กุชชี คือสินค้าที่ทำจากหนังจระเข้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบางกอก บู๊ทเทอรี่เป็นสินค้าเอ็กโซติก อย่างหนังจระเข้หรือหนังงูที่มีวัตถุดิบจากประเทศไทย กลายเป็นจุดขายที่จะพาแบรนด์ไปถึงฝัน




     การเติบโตมาท่ามกลางธุรกิจเครื่องหนัง และถูกวางตัวให้เป็นทายาทผู้รับสืบทอดกิจการที่ถูกส่งต่อจากรุ่นปู่ สู่รุ่นพ่อ กระทั่งถึงรุ่นของตัวเอง ทำให้ จิรทศ ถิรนุทธิ ได้รับการเตรียมพร้อมมาตลอดนับตั้งแต่วัยเด็กในฐานะทายาทรุ่นที่ 4 แห่ง บางกอก บู๊ทเทอร์รี่ (Bangkok Bootery) แบรนด์เครื่องหนังสัญชาติไทยสุดหรูที่ทั้งชาวไทยและเทศต่างรู้จักกันดี


     วันนี้เขากำลังทำสิ่งที่ยากและเป็นความท้าทายคือ การผลักดันให้แบรนด์เครื่องหนังไทยก้าวขึ้นไปเทียบรัศมีแบรนด์ดังระดับโลก ซึ่งเป็นความฝันสูงสุดที่เขาไม่เพียงแอบเก็บซ่อนเอาไว้ในใจ แต่เดินหน้าทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ โดยคาดหวังว่า เมื่อวันหนึ่งเขาทำได้สำเร็จ ความสำเร็จนั้นจะเปล่งเสียงบอกให้โลกรู้ถึงสิ่งที่เขาฝันในวันนี้เอง


     การกล้าที่จะฝันย่อมทำให้เส้นทางสู่เป้าหมายชัดเจน การเก็บเกี่ยวความสำเร็จเล็กๆ คือ การสร้างความเชื่อมั่นที่จะเป็นแต้มต่อสู่ความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจได้สักวันหนึ่ง และนี่คือเรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มผู้กล้าที่จะฝันไกล และพร้อมที่จะก้าวไปให้ถึง



 
 
ในวันที่รับช่วงต่อ คิดว่าต้องมาเติมเต็มอะไรให้กับธุรกิจ
               

     คุณพ่อไม่เคยพูดกับผมตรงๆ แต่เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าตามธรรมเนียมคนจีน ลูกชายคนโตต้องเข้ามาดูแลกิจการของครอบครัว ปัจจุบันบางกอก บู๊ทเทอร์รี่ มีอายุ 83 ปีแล้ว กิจการเริ่มมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ เปิดเป็นโรงงานรับจ้างผลิตเพื่อส่งออก พอมาถึงรุ่นคุณพ่อก็ต่อยอดด้วยการสร้างแบรนด์ของตัวเองใช้ชื่อ บางกอก บู๊ทเทอร์รี่ หลังเรียนจบปริญญาโท ผมก็มาช่วยงานที่บ้านเลย ตอนเข้ามาแรกๆ ตอนนั้นเรามีอยู่ประมาณ 3 สาขา เป็นช่วงที่กิจการของเราเริ่มนิ่งๆ เหมือนหยุดอยู่กับที่ ทั้งที่จริงก่อนหน้านี้ บางกอก บู๊ทเทอร์รี่เคยขึ้นจุดสูงสุดในช่วงที่คุณพ่อเข้ามารับช่วงต่อ เพราะท่านเป็นคนบุกเบิกเรื่องการสร้างแบรนด์ แต่พอยุคสมัยเปลี่ยน เริ่มมีเรื่องของเทคโนโลยี สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดียเข้ามา แล้วท่านไม่ถนัด ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง เพราะปัญหาเรื่องค่าเงิน ทำให้ความต้องการของตลาดลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ ท่านก็เลยไม่ได้ขยายสาขาต่อ ชื่อเสียงของเราขาดตอนไปช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเข้ามาพอดี
               

     จำได้ว่าช่วงนั้นเป็นปี 2551 ตลาดเครื่องหนังไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ยังพอมีช่องว่างให้เราแทรกตัวเข้าไปได้ เพราะตอนนั้นเรามีสาขาเฉพาะที่กรุงเทพฯ หัวหิน และพัทยา แต่ไม่มีสาขาออกไปจากละแวกนี้ ผมก็มองว่าถ้าจะอยู่แค่ตรงนี้ ถึงจะพออยู่ได้ แต่เราก็คงไม่โตไปกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากต้องมองหาตลาดใหม่ๆ ตอนนั้นเพิ่งจบปริญญาโทมาจากอังกฤษก็ไฟแรง อยากจะขยายสาขา อยากหาที่เปิดใหม่ เลยตัดสินใจขอคุณพ่อไปเปิดสาขาใหม่ที่ภูเก็ตด้วยตัวเอง เลือกที่นี่เพราะมองว่าลูกค้าเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อสูง (High Spending) และชอบสินค้าแนวนี้ อย่างคนรัสเซียที่มาเที่ยวที่ภูเก็ตจะชอบเครื่องหนังเอ็กโซติก (Exotic) มาก
 

ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าการโกอินเตอร์คือโอกาสสำหรับธุรกิจใช่หรือไม่
               

     จริงๆ ผมมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังดูแลอยู่ เรามีโอกาสได้เห็นท่านสร้างแบรนด์จนเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทย ก็อยากต่อยอดให้แบรนด์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ตอนนั้นไม่ได้บอกท่านถึงสิ่งที่ตัวเองคิด เพียงแต่ตั้งเป้ากับตัวเองเอาไว้ว่า ถ้าเมื่อไหร่เราเข้ามาทำ เราจะพาแบรนด์ของเราโกอินเตอร์ และทันทีที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านให้เราเข้ามาดูแลอย่างเต็มตัว เราก็เริ่มทำตามที่ตั้งใจเลย ตอนนี้กำลังเล็งๆ ที่จะส่งออกอยู่ จริงๆ มีคนมาขอไลเซนต์ไปทำเยอะเลย แต่เรายังไม่พร้อม ตอนนี้เราเพิ่งรีแบรนด์ใหม่ มีการเปลี่ยนภาพของแบรนด์ และโลโก้แบรนด์ใหม่หมดเลยปีที่แล้ว ก็เลยอยากจะทำตรงนี้ให้ชัดก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยลุยอีกที


     ผมตั้งใจจะไปเปิดสาขาของตัวเองในต่างประเทศ แต่อาจจะไปหาคนที่โน่นมาลงทุนร่วมกับเรา คงลงทุน 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ต้องตามนโยบายของประเทศนั้นๆ เป้าหมายแรกสุดที่จะไปคงจะเป็นดูไบ เพราะถ้าเทียบจากหลายๆ ที่ตลาดเอ็กโซติกที่นั่นดีที่สุด ซึ่งแบรนด์คล้ายๆ เราไปกันหลายแบรนด์แล้ว แต่ผมอยากเน้นความชัวร์มากกว่า ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าฐานที่เมืองไทยแน่นแล้ว จะไปเมื่อไรก็ไปได้
 




Bangkok Bootery อยากก้าวไปได้ไกลแค่ไหน ในเวทีระดับโลก


     ผมอยากให้แบรนด์ของเราโกอินเตอร์ เพราะถ้าไปถึงจุดนั้นได้ มันไปได้อีกเยอะมาก ความฝันที่เป็นปลายทางจริงๆ ผมมองไปถึงการขึ้นไปอยู่เคียงข้างแบรนด์เนมระดับโลกอย่าง หลุยส์ วิตตอง, ชาเนล พวกนั้นเลย แล้วผมเชื่อมั่นว่าสินค้าเราสู้เขาได้นะ เพราะสินค้าเราเป็นเอ็กโซติก ที่เป็นหนังจระเข้ หรือหนังงู หนังพวกนี้ที่ต่างประเทศมีน้อยมาก ความเป็นสินค้าหายาก เป็นหนึ่งในจุดขายของเรา จุดขายอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องราคา ความที่วัตถุดิบอยู่ในเมืองไทย ต่างประเทศไม่มี แค่ 2 ปัจจัยนี้ก็ทำให้เรามีจุดขายที่ไปได้แน่นอนในตลาดต่างประเทศ


     สินค้าแบรนด์เนมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ วิตตอง, ชาเนล, แอร์เมส หรือ กุชชี สินค้าที่แพงที่สุดในร้านของเขา คือ สินค้าที่ทำจากหนังจระเข้ เพราะความที่เป็นวัตถุดิบหายาก อย่าง แอร์เมส กระเป๋าใบหนึ่งขาย 400,000-500,000 บาท แต่ถ้าเป็นหนังจระเข้จะขึ้นหลักล้านเลย คือเขาขยับราคาพวกที่เป็นหนังสัตว์ ดังนั้น เราเห็นโอกาสที่มันไปได้อยู่แล้ว อย่างชาเนล หนังจระเข้ใบหนึ่งก็เป็นล้านเหมือนกัน ขณะที่ของเราใบหนึ่งไม่ถึงแสน ทำให้มีช่องว่างเยอะมากที่จะให้เราเข้าไปเติมเต็ม


     ลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ในทุกช่วงวัย เพราะสินค้าผมมีขายตั้งแต่ร้อยกว่าบาทไปจนถึงหลักแสน แล้วแต่ใครจะซื้อ แพงสุดก็เป็นเสื้อแจ็กเกตราคา 150,000 บาท เป็นแบบสั่งตัดพิเศษ เพราะว่าเสื้อแจ็กเกตต้องพอดีตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่รู้จักเราจากทางอินเทอร์เน็ต คือนอกจากจุดขายแล้ว เราก็ยังมีการสื่อสารทางการตลาดผ่านทางออนไลน์ด้วย ซึ่งผมเริ่มทำเว็บไซต์ให้กับร้านของเราตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ก่อนที่จะเข้ามาช่วยงานคุณพ่อ และมารับช่วงต่อจริงจัง
 
 
หนังจระเข้ไทยเป็นสินค้าหายากที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างนั้นหรือ


     หนังจระเข้มีทั้งสายพันธุ์อเมริกา และสายพันธุ์ไทย แต่ละสายพันธุ์ก็จะถูกแบ่งเกรดออกไปอีก จระเข้บ่อเดี่ยวจะเกรดดี และมีราคาแพงกว่าจระเข้บ่อรวม ตัวเม็ดหนังจะไม่เหมือนกัน คนมองเป็นจะดูรู้ หนังจระเข้ที่เราเอามาใช้ จะต้องเอามาย้อมสี และฟอกหนัง โรงงานเราไม่ได้ฟอกเอง จะสั่งซื้อมาเป็นผืนแล้วเอามาตัดเย็บเอง แต่โปรดักต์ของเราไม่ได้ใช้หนังจระเข้อย่างเดียว บางตัวเรานำเข้าหนังจระเข้จากต่างประเทศเข้ามาเป็นวัตถุดิบผลิตก็เยอะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ผมถึงขายแพงกว่าแบรนด์อื่น เพราะผมใช้หนังจระเข้เกรดดีจากหลายๆ แหล่ง กลุ่มคนชื่นชอบสินค้าพวกนี้จะดูรู้ ซึ่งเป็นกลุ่มเฉพาะมาก ตั้งใจซื้อก็เดินเข้ามาหาแบรนด์ผมเลยก็มี
 




นั่นเท่ากับว่าเรามีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีแล้วจึงพร้อมต่อยอดไปได้ไกล

               
     ส่วนหนึ่งก็ใช่ แต่จริงๆ การเรียนก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน ผมเลือกเรียนปริญญาตรีด้านไฟแนนซ์ เพราะมองว่าการทำธุรกิจสำคัญที่สุดคือเรื่องการเงิน เพราะเราต้องดูเรื่องความเป็นไปได้ในการลงทุน ทำอย่างไรให้คุ้มทุนในการลงทุนแต่ละครั้ง และไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็ต้องใช้เงิน เราต้องวางแผนว่าจะให้กระแสเงินสด (Cash Flow) เป็นอย่างไร ทำแล้วคุ้ม หรือไม่คุ้ม ส่วนเรื่องการตลาด การบริหารจัดการ ทั้งหมดนี้เราจ้างเขาก็ได้ แต่ว่าสุดท้ายผมก็ไปเรียนโทด้านการบริหาร คือตั้งใจตั้งแต่เด็กแล้วว่ามันต้องมาอย่างนี้ คือจะเข้ามารับช่วงต่อกิจการจากคุณพ่อ เราต้องรู้เรื่องเงินก่อนอันดับแรก แล้วไปต่อโทด้านการบริหารจัดการ
               

     ปริญญาโท ผมเรียนจบโดยตรงด้านการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) เห็นอยู่แล้วว่าลูกค้าเราเป็นคนกลุ่มไหน ชอบอะไรอย่างไร คู่แข่งเราจริงๆ อยู่กรุงเทพฯ สมัยที่รับช่วงต่อจากคุณพ่อใหม่ๆ ไม่มีใครไปต่างจังหวัดเลย ร้านในต่างจังหวัดจะเป็นร้านบ้านๆ ที่ไม่ใช่โรงงานเหมือนเรา เรารู้ว่าถ้าเราไป เราย่อมแข็งแกร่งกว่าเขาอยู่แล้ว เราอยู่ได้แน่นอน ผมก็เลยเชื่อมั่นที่จะไปเปิดตลาดที่นั่น ซึ่งเอาจริงๆ ขายแค่รองเท้า เราก็อยู่ได้ของเราแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ยอดตามที่เราตั้งเป้าไว้ ซึ่งพอเทกโอเวอร์ร้านมาดามตุรกีมาได้ ยอดขายก็พุ่งทะลุเป้าเลย ทำให้เห็นความชัดเจนเลยว่าเรามาถูกทางแล้ว
               

     ตอนจะปรับสัดส่วนสินค้า มาเพิ่มตัวกระเป๋ามากขึ้น สมัยนั้นผมก็ไปเรียนเสริมด้านออกแบบของโครงการเมืองแฟชั่น แล้วก็ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ และออกมาทำเอง แม้แต่ปัจจุบันนี้ ผมก็ยังลงคอร์สเรียนเสริมความรู้ด้านการบริหารธุรกิจ ไปเจอเพื่อนๆ ที่เป็นนักธุรกิจเหมือนเรา ทำให้มีโอกาสได้ต่อยอดธุรกิจ ไม่ใช่แค่ความรู้ที่จะได้ ซึ่งผมมองว่าการทำธุรกิจยุคนี้คอนเน็กชันสำคัญมาก คือถ้าไม่มีคอนเน็กชัน เราก็ยังทำธุรกิจได้ แต่มันไม่เร็วเท่า และไม่แข็งแกร่งเท่า ซึ่งการเรียนรู้ทั้งหมดนี้ ช่วยในการทำธุรกิจของผมในวันนี้อย่างมาก




 
Profile
จิรทศ ถิรนุทธิ
อายุ : 35 ปี
การศึกษา : ปริญญาโทสาขาวิชาการเป็นผู้ประกอบการ  (Entrepreneurship) ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ (University of Surrey) ประเทศอังกฤษ
ตำแหน่ง :  กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกบู๊ทเทอร์รี่ ดิเอ็กโซติก จำกัด
 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 
 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย