​ปลาร้า! ใครว่าบ้านๆ แบรนด์ปลายจวัก คิดใหม่จับ “วิทยาศาสตร์” มาใส่ในปลาร้า






 
      “เรามองเห็นโอกาสทางตลาด บวกกับหยิบจุดอ่อนเกี่ยวกับมุมมองของคนที่มีต่อปลาร้าขึ้นมาเป็นโจทย์ อย่างคนในกรุงเทพ สังคมเมืองหรือคนที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยกับปลาร้า เขาจะมองว่าเป็นของที่ดูไม่สูงและไม่สะอาด พอพูดถึงปลาร้าหลายคนก็จะนึกถึงหนอน เราเลยมาหาคำตอบหรือโซลูชั่นว่าจะทำยังไงให้ปลาร้ามีความสะอาด ไร้หนอนและยกระดับให้ดูเป็นของสูง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือการนำเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่งตรงนี้ยังไม่มีใครทำ” 
 

     ด้วยความเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่คนไทยนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ทำให้การผลิต “ปลาร้า” ขยายตัวจากที่ทำกันในระดับครัวเรือนหรือธุรกิจเล็กๆ เติบโตมาสู่การผลิตขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยมีปริมาณการผลิตสูงถึง 40,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดในประเทศรวมปีละกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งการแข่งขันนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการส่งออกไปต่างประเทศที่มีมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย ทำให้ผู้เล่นในธุรกิจนี้ไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้ และหนึ่งในนั้นก็คือ ปลายจวัก แบรนด์ที่ชูความเป็นวิทยาศาตร์เข้ามายกระดับให้กับปลาร้าสู่ความเป็นสากลและมีมาตรฐานมากขึ้น





     และผู้ที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์นี้ก็คือ เนตรดาว ขันดวง ดีกรีลูกสาวโรงปลาร้าเจ้าดังของจังหวัดสระบุรีอย่าง “โรงหมักปลาร้าป้าสาย” ที่หมักขายส่งมายาวนานเกือบ 40 ปี และ สิวพงศ์ สัจจะวัฒนวิมล ที่เคยทำงานกับบริษัทชื่อดังด้านอาหารหลายแห่งของประเทศ โดยตั้งเป้าเปลี่ยน Mindset ของผู้บริโภคต่อปลาร้าที่มองว่าเป็นของต่ำ ให้กลายเป็นของสูงด้วยการใช้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย


     “ลำดับแรกคือการใช้องค์ความรู้ที่ได้จากการเรียนจบวิทยาศาสตร์การอาหาร หรือ Food Science มาเลยรู้ว่า ในท้องปลาที่มีขี้ปลาและไส้ปลานั้น จะมีเชื้อคลอสติเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ที่สามารถสร้างสารพิษและทำให้คนกินตายได้ เราเลยทำการเอาอวัยวะภายในของปลาออกทั้งหมดและใช้ปลาสดเท่านั้นในการหมักทำผลิตภัณฑ์”





     ที่สำคัญ จะโลดแล่นสร้างความต่างในตลาดที่แข่งขันสูงทั้งที ปลาที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการหมักนั้น ก็ต้องเป็นปลาน้ำจืดและต้องทำการหมักตอนที่ยังสดๆอยู่เท่านั้น ก่อนที่จะนำไปคลุกกับรำข้าวหรือข้าวคั่วตามสูตร ซึ่งจะแตกต่างจากเจ้าอื่นๆที่มักใช้ปลาทะเลในการหมักเพราะต้นทุนไม่สูง อีกทั้งยังเป็นปลาที่ตายแล้วและปล่อยให้มีกลิ่นตึๆสักวันสองวัน แล้วนำมาทำเป็นปลาร้าโดยที่ไม่ได้นำเอาเครื่องในออก ซึ่งการใช้ปลาทั้งตัวแบบนี้สามารถทำให้คนกินท้องเสียได้





     “เราใช้ปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดในการทำเท่านั้น โดยใช้ทั้งปลาเลี้ยงและปลาธรรมชาติจากเขื่อน ซึ่งชนิดที่ดีที่สุดก็คือ ปลากระดี่ รองลงมาเป็นปลาสร้อย ปลายี่สก ปลานวลจันทร์และปลานิล โดยภาชนะที่ใช้ชำระล้างนั้นเป็นสแตนเลสทั้งหมด รวมไปถึงการใช้โอ่งมังกรจากราชบุรีที่มีการเผาและเคลือบมาแล้วในการหมักทำให้ไม่เกิดการปนเปื้อน แตกต่างจากทั่วไปที่มักทำการหมักลงในบ่อปูนซีเมนต์ เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน ซึ่งพอเวลาผ่านไปความเค็มที่ได้จากการหมักจะเข้าไปกัดกร่อนปูนและปะปนไปกับปลาร้าที่ตักไปจำหน่าย”


     และเพื่อที่จะย่นระยะเวลาของการหมักจาก 12 เดือนเป็น 8 เดือน รวมถึงควบคุมให้ปลาร้าแต่ละโอ่งมีมาตรฐานและคุณภาพเท่ากันหมด ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เข้ามาช่วยในเรื่องของการวิจัยเชื้อที่มีอยู่ในตัวปลา โดยทางอาจารย์จะนำปลาร้าของแบรนด์ไป เพื่อทำการสกัดเชื้อจากปลาที่เป็นประโยชน์ จากนั้นก็นำไปขยายและเพาะเชื้อเพิ่ม ซึ่งเชื้อที่ได้จะสามารถเข้าไปกระตุ้นการหมักแล้วไม่ทำให้มีเชื้อที่สามารถก่อให้เกิดโรคตามมา





     “โดยเราจะนำเชื้อใสๆที่ได้ดังกล่าวใส่ลงไปในโอ่งที่ทำการหมัก เพื่อที่จะคุมเชื้อทุกโอ่งให้มีคุณภาพเหมือนกันหมด นับเป็นการใช้นวัตกรรมเรื่องเชื้อเข้ามาช่วยในการทำผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ วิธีการหมักของเราจะไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะเราจะไม่มีการเติมน้ำหรือน้ำผสมเกลือทีหลัง เราจะใช้เนื้อปลาหมักแบบเข้มข้นเท่านั้น พอได้ระยะเวลาครบ 8 เดือนจึงนำเนื้อปลาไปทดสอบและตรวจคุณภาพในห้องแล็บ เช่น วัดปริมาณเกลือ กรด ความชื้น ค่า pH รวมไปถึงตัดเนื้อบางส่วนมาทอด เพื่อดูความตึงและดูลักษณะของหนังปลา ถ้าผ่านคุณภาพของทางแล็บก็สามารถทำการแปรรูปและพาสเจอร์ไรซ์ได้เลย”





   สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดในขณะนี้นั้นจะเป็น น้ำปลาร้าพาสเจอร์ไรซ์ ปลาร้าสับทรงเครื่องที่พาสเจอร์ไรซ์แล้วเช่นกัน รวมไปถึงน้ำปลาหวานที่จะใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลา ซึ่งถือว่าเป็นโปรดักต์ที่แตกต่างและแปลกกว่าแบรนด์อื่นๆ โดยมีที่มาจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคในต่างประเทศ ซึ่งเขาจะไม่ชอบรสชาติของน้ำปลาไทยเพราะว่ามีความเค็มแหลมและมีความคาว บวกกับน้ำปลาร้านั้นมีการนำมาใช้แทนที่น้ำปลาในเมืองนอกอีกด้วย





     “ด้วยความที่ตลาดปลาร้านั้นมีขนาดใหญ่และยังมีความต้องการอีกมาก เราจึงมองไปที่การทำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมา เช่น ผงโรยข้าวปลาร้า ที่ใช้ปลาร้าทำเป็นผงสำหรับโรยข้าว ลักษณะเหมือนกับผงโรยข้าวของญี่ปุ่น ซึ่งจะมีรสชาติออกเป็นปลาส้มนิดๆ มีความเปรี้ยว เพื่อที่จะกินแล้วไม่เลี่ยนและกินคู่กับผักสดได้ รวมไปถึงปลาร้าทอดกรอบ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ได้รับความสะดวกในการกินอาหารมากที่สุด”    


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย

วิธีเปลี่ยนไอเดีย “ตัน” เป็น “มันส์” แบบ Matty Benedetto ยอดนักประดิษฐ์จอมกวน  

เพราะคำว่า “ไม่จำเป็น” ≠ “ไม่มีประโยชน์” ชิ้นงานแสนฮาของ Matty Benedetto “อัจฉริยะผู้ชั่วร้าย” จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีให้กับผู้ประกอบการที่ตกอยู่ในอาการไอเดียตัน คิดอยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมได้ลองมาเรียนรู้กัน