‘Rivers and roads, Rivers 'til I reach you’ จากเนื้อเพลงท่องหนึ่งของเพลง rivers & roads ที่กลายมาเป็นชื่อร้าน Souvenir แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ โดยร้าน rivers & roads ถูกก่อตั้งขึ้นโดยผู้ที่มีเจตนารมณ์และรสนิยมเดียวกันทั้ง 4 คนคือ ภัทรพล ประสิทธิ์ – อาม, ณัฐพร วรรณปะโก – นัด, นับวงศ์ ช่วยชูวงศ์ – บี๋, วันวิสาข์ นาสิงห์ – จิ๊กกี๋ เจตนารมณ์ที่ว่าคือการใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่พวกเขามีเหมือนๆ กันและรสนิยมที่ชื่นชอบสินค้าไปในทิศทางเดียวกันจนกลายมาเป็นร้านขายของฝากที่เต็มไปด้วยแบรนด์และสินค้าสุดน่ารักจากศิลปินและดีไซเนอร์ในเมืองเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีสเตชั่นที่เอาไว้ให้คนมาเติมน้ำยาต่างๆ แบบ No Packaging อีกด้วยกับ Foolfil Corner
บี๋ 1 ในผู้ร่วมก่อตั้งได้เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นและคอนเซปต์ร้านว่าเกิดขึ้นเพราะอยากให้เชียงใหม่มี Selected Shop ที่นำเสนอศักยภาพของดีไซเนอร์ในเชียงใหม่พร้อมกับคอนเซปต์ที่ไม่อยากให้มีถุงพลาสติกเกิดขึ้นในร้าน
บี๋: “เราคิดว่าอยากให้มีร้าน Souvenir ในเชียงใหม่ที่แตกต่าง ไม่เหมือนกับคนอื่นและเราอยากที่จะนำเสนอศักยภาพของดีไซเนอร์ ศิลปินในเชียงใหม่ด้วย เราเลยเป็น Selected Shop ที่คัดเลือกงานจากศิลปินต่างๆ มารวมไว้ เราคิดว่าคนที่มาเที่ยวเชียงใหม่เป็นเพื่อนเรา จิ๊กกี๋คิดชื่อร้านได้จากเพลง rivers & roads พูดถึงเพื่อนที่ห่างหายไป ไม่เจอกันนาน เราก็อยากให้คนมาเที่ยวเชียงใหม่คิดถึงเรา ประกอบกับว่าร้านเราอยู่ถนนเส้นที่แม่น้ำปิงตัดกับท่าแพพอดี เลยกลายเป็น rivers & roads นอกจากนี้เราทั้ง 4 คนมีความเห็นตรงกันว่าพลาสติกมันเริ่มมากไปแล้วในเชียงใหม่ เราอยากลดการใช้พลาสติก คอนเซ็ปต์ร้านเราคือจะไม่ใช้ถุงพลาสติกกันเลยในร้าน”
ด้วยความที่ผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 4 ของ rivers & roads เป็น Greener กันอยู่แล้ว เช่น ไม่ใช้หลอด พกแก้วน้ำ พกถุงผ้า ใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันน้อยที่สุด ทำให้ร้าน river & roads เป็นร้านที่ถ่ายทอดเจตนารมณ์ออกมาเป็นดีเทลเล็กๆ ที่สร้างอิมแพคอันยิ่งใหญ่ภายในร้าน
บี๋: “สินค้าในร้านเราก็มีขายพวกช้อนส้อม ตะเกียบแบบพกพาให้คนลดใช้พวกช้อนพลาสติก มีขายแก้วน้ำ ถุงผ้าหรือแม้แต่บ้านไม้เล็กๆ ที่เอาไว้ตั้งโชว์ก็มาจากเศษไม้สักที่เขาทิ้ง มันเคยเป็นบ้านไม้สักแล้วพอเขารื้อทิ้ง พวกไม้ขนาดใหญ่คนก็เอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ จะเหลือเป็นเศษไม้ ถ้าไม่เผาทิ้งก็เอาไปทำฟืน เราเลยเก็บเศษไม้ตรงนี้มาทำเป็นบ้านไม้ตั้งโชว์เล็กๆ แล้วเขียนเล่ามาที่มาที่ไปของไม้มาจากไหน ให้คนที่เขามาซื้อได้รับรู้ หรือน้องนัดที่ทำเสื้อผ้า เศษผ้าทุกชิ้นไม่ทิ้งเลย จะนำมาทำเป็นเชือกผูกถุง เชือกเราก็ไม่ต้องซื้อ ถุงเราก็ใช้ถุงกระดาษหรือ Bubble กันกระแทก เราใช้เป็นเศษกระดาษจากโรงพิมพ์ที่อามทำงาน ซอยเป็นเส้นสั้นๆ ไว้ใช้ห่อพวกสินค้าที่เป็นแก้ว ถ้าคนเห็นเหมือนเราว่ามันเริ่มต้นได้จากของที่มัน Easy มากเลย แค่ทบทวนตัวเองว่าอย่าใช้พลาสติก ก็จะช่วยได้”
นอกจากรายละเอียดภายในร้านที่แสดงถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมี Foolfil Corner ซึ่งเป็นสเตชั่นเติมน้ำยาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยอามเป็นผู้ริเริ่มอยากทำสเตชั่นเติมน้ำยาแบบ No Packaging ให้เกิดขึ้นในเชียงใหม่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการลดขวดพลาสติก
อาม: “ธุรกิจประเภทนี้มันมีมาในต่างประเทศสักพักแล้ว แล้วก็เริ่มเข้ามามีในไทย อย่าง Refill Station ที่เป็นแรงบันดาลใจของเราว่ามันสามารถทำได้ในเมืองไทยนะ พอเรามีร้านมีพื้นที่ก็อยากลองทำดู Foolfil มันเหมือนการเล่นคำคือผมกับทีมเป็นคนที่รุงรัง พกขวดน้ำ ถุงผ้า พกนู่นนี่นั่นมันดูเทอะทะ ไม่สมาร์ทเลยใช้คำว่า Foolfil คนโง่ แต่เป็น Such a fool to care นะ เราไม่อยากสร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อมไปมากกว่านี้แล้ว มันเป็นโมเดลที่ดีมากๆ แต่เรื่องธุรกิจก็อีกเรื่องหนึ่งนะเพราะเราไม่ได้หวังกำไรสูงสุดจากตรงนี้อยู่แล้ว แค่อยากให้มีเยอะๆ อยากให้ทุกคนทำ ใครสะดวกเติมตรงไหนก็เติมตรงนั้น”
อามยังได้เปรียบเปรยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่พวกเขากังวลว่าทุกวันนี้มันกลายเป็นปัญหาที่เหมือนจอกแหนอยู่ในอ่างน้ำ ทุกวันจอกแหนหนึ่งต้นจะเพิ่มขึ้น ถ้ามันเพิ่มวันละต้นก็อาจจะดูไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่ถ้าตอนนี้มีจอกแหนอยู่ครึ่งอ่างแล้ว พรุ่งนี้จอกแหนก็จะเต็มอ่างและวันต่อไปมันก็จะล้นออก ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมที่พวกเราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ก็เช่นกัน ความยากของการเริ่มต้นคือการสื่อสารออกไป ให้ทุกคนได้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำ ทำเพราะอะไร ทำไมทุกคนถึงต้องเลิกใช้พลาสติก ทำไมถึงต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อม
อาม: “อย่างผมไปไหนก็จะมีกระติกน้ำตลอดเวลา คนก็จะถามว่าไม่สบายหรอ ต้องถือกระติกกินน้ำอุ่น เราก็มีจุดประสงค์ของเราหรืออย่างเวลาไปร้านค้าก็จะต้องบอกว่าไม่เอาหลอดนะ พอไปซ้ำสัก 2-3 ครั้งเขาจะจำเราได้แล้วว่าไม่เอาหลอด มันเป็นการสื่อสารกับคนรอบตัวตลอดเวลา วิธีการทำที่เราทำกับ Foolfil ก็เช่นกัน เราต้องเริ่มต้นด้วยการสื่อสาร”
และนี่ก็คือเรื่องราวของร้านเล็กๆ ในเชียงใหม่ที่อาจทำให้คุณตระหนักได้ว่าปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม มันจะแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ต้องร่วมมือกัน จากแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าทุกคนทำแบบนี้เหมือนกันก็อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีในอนาคตได้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี