หากคุณมีโอกาสได้ผ่านไปแถวนนทบุรี บนถนนติวานนท์ ไม่ไกลจากซอยเรวดี คุณคงได้เห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่มีพี่ตูน Body Slam อยู่บนป้าย แต่งตัวสุดเท่ มีครูมวยหน้าโหดรายล้อมพร้อมกับโฆษณายิมมวยที่ชื่อ Toon Boxing Slam ทำให้หลายคนต่างเข้าใจผิดว่า ‘เห้ย พี่ตูน Body Slam มาเปิดยิมมวยจริงดิ!’ เราจะมาไขข้อข้องใจนี้ให้คุณได้รู้กันว่ายิมมวยนี้เป็นของพี่ตูนไหนกันแน่
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า Toon Boxing Slam ไม่ใช่ยิมมวยของพี่ตูน Body Slam แต่เป็นของพี่ตูน – อิสิวัชร ปรีชาญวินิจ ที่ไม่ได้มีความหน้าเหมือนพี่ตูน Body Slam ด้วยเช่นกัน ส่วนคนหน้าเหมือนพี่ตูนบนป้ายโฆษณาคือเจมส์ ผู้ที่หน้าเหมือนพี่ตูน Body Slam อย่างกับแกะจน ตูน – อิสิวัชร ต้องดึงตัวมาเพื่อเป็น Presenter เลยทีเดียว แค่เริ่มต้นก็มีมุกตลกตั้งแต่ Presenter และชื่อยิมแล้ว
ที่มาที่ไปของ Toon Boxing Slam เกิดจากการที่ตูนนั้นเป็นคนที่หลงใหลในการเล่นกีฬาชนิดต่างๆ เป็นทุนเดิม จนเขาได้มาต่อยมวยก็พบว่ากีฬามวยนี่แหละเป็นสิ่งที่เขาชอบ
“การต่อยมวยมันสนุกกว่าการเล่นอย่างอื่นเยอะเลย เราได้เตะ ได้ต่อย ได้หลบ ได้ป้องกันตัว สนุกดี ต้องบอกก่อนคือภรรยาพี่เสีย แล้วมันเหงา พี่ก็หาอะไรทำ ได้มาต่อยมวย ไปเรียนมวยหลายที่ ที่นี่เราเจอที่ตรงนี้มันกำลังจะเซ้งพอดี เขาก็เป็นค่ายมวยอยู่ ชื่อ ยอดมวยไทย แต่สัญญาตรงนี้มันแค่ปีเดียวเอง ลงทุนล้าน สองล้าน คุยกับใครก็ไม่เอา แต่เราเหงาไง เราก็เลย เออ ลองทำดูละกันก็เลยเริ่มทำ”
ส่วนชื่อ Toon Boxing Slam ตูนเล่าว่ามาจากก่อนหน้านี้เคยขี่จักรยานแล้วยี่ห้อ Birdy ตอนนั้นก็พูดเล่นๆ ว่า ตูนเบอร์ดี้สแลม จนมาทำยิมมวยมันคือ Boxing ก็เลยใช้ชื่อว่า Toon Boxing Slam ซึ่งมีวันหนึ่งหลังจากตัดสินใจทำยิมมวยก็ได้ไปเดินตลาดในซอยเรวดีและเจอป้ายโฆษณาของคนที่หน้าเหมือนพี่ตูน Body Slam ตูนจึงถามแม่ค้าแถวนั้นว่าตัวจริงหรือตัวปลอม ปรากฏพอเป็นตัวปลอมจึงได้ติดต่อเพื่อมาถ่ายโปรโมตยิมมวยแห่งนี้ ทุกอย่างจึงลงตัวในที่สุด
ที่สำคัญยังทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่ายิมแห่งนี้เป็นของพี่ตูน Body Slam แต่พอรู้ว่าเข้าใจผิดก็เกิดความขำขันกลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จไปซะงั้นเพราะช่วยดึงดูดลูกค้าให้รู้จัก Toon Boxing Slam ได้มากยิ่งขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ของยิมมวยแห่งนี้คือสาวๆ เป็นหลักกว่า 95%
“ผมเคยไปลองเรียนมวยมาหลายที่ ส่วนใหญ่จะน่าเบื่อ เรียนไปสักพักกจะรู้สึกตัน บางที่ก็จริงจังเกินไป หรือบางที่ครูมวยมีการรุ่มร่ามกับผู้หญิง ของเราเลยเน้นเลยว่ารับแต่ลูกค้าผู้หญิงและห้ามครูมวยแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงเด็ดขาด เราจะมีกฎตรงนี้ชัดเจนเลย ส่วนลูกค้าที่มาก็ห้ามใส่เสื้อรัด โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้ง ถ้าใส่มาเราจะมีชุดให้เปลี่ยนเลย ถ้าเด็กๆ มีผู้ปกครองมาด้วยเราก็จะให้ครูผู้หญิงเป็นคนดูแล บางทีเราเคยเจอลูกค้าผู้ชายแหละ บางทีมายืนสูบบุหรี่หรือพอเป็นมวยสักพักก็จะมาสอนลูกค้าผู้หญิง มาแตะเนื้อต้องตัว เราคืนเงินเลยดีกว่า ไม่ให้อยู่แล้ว เราจะเซฟสำหรับลูกค้าผู้หญิงมาก เพราะผมเองก็มีลูกสาว ถ้ามีใครทำแบบนั้นผมก็ไม่โอเค”
รายละเอียดการเรียนการสอนของที่นี่จะเสียค่าคอร์สเป็นรายเดือน แต่ขออุบไว้ก่อนว่าเท่าไหร่ เนื่องจากตูนบอกว่าอยากให้ลูกค้าได้ทดลองมาเรียน มาเล่นที่ยิมดูก่อน ถ้าถูกใจแล้วค่อยว่ากัน การเรียนมวยของที่นี่จะมีครูมวยสอนตัวต่อตัว ซึ่งมีครูมวยทั้งหมด 6 คน ครูบางคนเป็นแชมป์เวทีมวยราชดำเนิน โดยจะสอนพื้นฐานของแม่ไม้มวยไทย มีการป้องกันตัว นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ Fitness ต่างๆ ให้นักเรียนได้ออกกำลังกายเพิ่มเติม โดยในแต่ละคลาสจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
“คนที่เข้ามาเรียนไม่ต้องมีพื้นฐานเลย คือก่อนอื่นเราจะจับเขามาเต้น วาดหน้า เขียนหน้าบ้างเพื่อละลายพฤติกรรม เราก็จะมีการสอนมวยพื้นฐานให้เขา ให้เป็นเลย จุดประสงค์ของคนที่มาที่นี่มีทั้งอยากเรียนป้องกันตัว อยากลดความอ้วน เราก็จะคุยกับเขาว่าต้องการอะไร แล้วก็สอนมวยให้เป็นกลับไปด้วย ทุกคนที่มาคือได้ทั้งเรียนมวย ได้เล่นกับครูมวย บางคนมาตั้งแต่ตอนเย็น กลับอีกที 4 ทุ่มก็มี เราไม่ได้อยากให้มาเรียนแล้วก็กลับบ้าน จบไป เราต่างจากคนอื่นตรงที่เราสนุกกว่า บางทีแรงเหลือ ก็ตีแบตกันบ้าง เตะบอลบ้าง บางวันถ้าอยากเรียนซุมบ้า เราก็จะมีครูมาสอนให้ กลายเป็น Community เล็กๆ”
ความสนุกอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ที่ต่างจากที่อื่นคือครูมวย ที่นำทีมโดยครูแจ็คกี้ ซึ่งแต่ละคนมีฝีมือด้านมวยที่อัดแน่นและพร้อมจะสอนให้แก่นักเรียนที่เข้ามาด้วยความสนุกสนานเพื่อให้นักเรียนไม่เบื่อ บางวันก็มีการวาดหน้า เขียนหน้าด้วยปากกาเพื่อเพิ่มกิมมิกนอกจากนี้ยังมีการแต่งตัวสนุกๆ ในทุกวัน บางวันก็มีแต่งธีมชุดนักเรียน ชุดแม่บ้านคอกระเช้า ชุดทหาร เรียกได้ว่านักเรียนที่มาที่นี่นอกจากจะได้เรียนมวย ได้ลดน้ำหนักยังได้เพื่อนใหม่ สังคมใหม่อีกด้วย
โดยตูนได้ปิดท้ายว่าความสนุกคือพื้นฐานของการทำยิมมวยแห่งนี้ เพราะจุดเริ่มต้นมันแค่ความอยากทำ ไม่ได้ตั้งคาดหวังว่าต้องได้กำไรเท่าไหร่ เนื่องจากตนเองก็มีธุรกิจอื่นอยู่แล้วยิมมวยของที่นี่จึงออกมาในรูปแบบนี้ ซึ่งกลายเป็นว่าถูกอกถูกใจคนที่มาเรียนมาเลยทีเดียว
“พี่ทำที่นี่เพราะความสนุกอย่างเดียวเลย เราเองมีธุรกิจอื่นอยู่แล้ว ถ้าเราเน้นแค่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว ต้องได้เงินมากๆ มันก็คงจะเครียดน่าดูเหหมือนกัน เพราะฉะนั้นที่นี่ก็เลยออกมาในแบบนี้”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี