Cr : Vigga.us
ธุรกิจเช่าเสื้อผ้าไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือออฟไลน์ต่างก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นการให้เช่าชุดแต่งงาน ชุดราตรีหรือชุดออกงานต่างๆ แต่รู้ไหมว่ายังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจและยังมีผู้เล่นไม่มากนักในตลาด นั่นก็คือ ธุรกิจให้เช่าชุดเด็กทารกนั่นเอง
ด้วยความคิดที่ว่ามันคงจะดีกว่าถ้าพ่อแม่ไม่ต้องคอยซื้อเสื้อผ้าใหม่อยู่เสมอให้กับเด็กทารกหรือเด็กแรกเกิดที่ขนาดตัวนั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว เปิดโอกาสให้แบรนด์จากประเทศเดนมาร์กอย่าง VIGGA ให้บริการเช่าชุดสำหรับเด็กแรกเกิดโดยเน้นผ้าที่เป็นออร์แกนิค ปลอดภัยต่อผิวที่บอบบางและแพ้ง่ายของเด็ก
จากการมีประสบการณ์มากว่า 10 ปีของการทำบริษัทเสื้อผ้าเด็ก ทำให้ Vigga Svensson ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ให้เช่าชุดทารกทางออนไลน์ บอกว่า เมื่อเราทราบจากลูกค้าว่าเสื้อผ้าเด็กที่ซื้อไปนั้นมักถูกใช้ประมาณ 5 – 7 ครั้งเท่านั้นเพราะเด็กมีตัวที่โตขึ้นแต่เสื้อผ้าไม่ได้ขยายตาม จึงเป็นที่มาของความคิดการให้บริการชุดที่เด็กๆ สามารถใส่ได้พอดี โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่อยู่ตลอดเวลา
“ทางเราจะส่งกระเป๋า 1 ใบที่มีเสื้อผ้าประมาณ 15 – 20 ชิ้นให้ลูกค้า และเมื่อเด็กใส่ชุดที่เช่าไม่ได้แล้วก็ให้ส่งเสื้อผ้าคืนแล้วทางร้านก็จะให้กระเป๋าเสื้อผ้าชุดใหม่ที่มีขนาดเหมาะกับตัวเด็กไป โดยเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ส่งมายังร้านจะได้รับการตรวจสอบคุณภาพ ความสะอาดและการซักรีดอย่างพิถีพิถันแล้วจึงจะส่งให้เด็กคนอื่นต่อไป”
Cr : Vigga.us
การซื้อเสื้อผ้าใหม่ในระยะเวลาสั้นๆ นอกจากจะเพิ่มเรื่องของค่าใช้จ่ายแล้วยังก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มากขึ้นอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่ทางแบรนด์ให้ความสำคัญคือการเข้ามาเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งให้กับสังคมที่การใส่เสื้อผ้าเป็นแบบใส่แล้วทิ้งและเป็นธุรกิจที่ให้ประโยชน์ทั้งกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ซึ่งพบว่าบริการเช่าชุดสามารถช่วยลดปริมาณการใช้น้ำและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการบริโภคแบบธรรมดา
จากการรายงานของบริษัทวิจัยการตลาด Allied Market Research ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจให้เช่าเสื้อผ้าทางออนไลน์ของโลกนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 1,013 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560 และคาดว่าจะมีการเติบโตถึง 1,856 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 โดยธุรกิจให้เช่าเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงมีสัดส่วนมากที่สุดในส่วนแบ่งการตลาด นอกจากนี้ ทวีปอเมริกาเหนือยังเป็นผู้นำของตลาดชุดเช่าที่กินสัดส่วนไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือยุโรป ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีการเติบโตมากที่สุดหรือคิดเป็น 11.4 เปอร์เซ็นต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินเดียและจีน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี