ธุรกิจสุขภาพและความงามในประเทศไทย นับว่ามีอัตราการเจริญเติบโตอย่างสูงต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 1.2 แสนล้านบาท และส่งออกตลาดต่างประเทศ 8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยอยู่ในอันดับ 16 ของโลก และไทยอยู่ในอันดับ 3 ของเอเชีย ต่อจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
ขณะที่ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาภาคบริการและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจการให้บริการและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นแหล่งสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ (Product of Excellence) ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจบริการทางการแพทย์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทย รวมถึงธุรกิจบริการส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ บริการนวดไทยและสปา ที่สร้างรายได้ต่อเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหาร นับเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบ
อย่างไรก็ดี จึงถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SME ในกลุ่มสุขภาพและความงาม ที่จะขยายตลาดไปสู่ตลาดโลกได้ ด้วยเหตุนี้ สสว. ได้จับมือผู้ประกอบการไทย ร่วมงาน “ASEAN Beauty 2018” ซึ่งเป็นงานเจรจาธุรกิจด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้นในไทย
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของ สุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายหลังร่วมพิธีเปิดงาน ASEAN Beauty 2018 : Southeast Asia’s Premier Beauty Show ครั้งที่ 4 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยกล่าวว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) กลุ่มสุขภาพและความงาม ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของไทยนั้น มีขีดความสามารถสูง รวมถึงจำนวนของผู้ผลิต ประเภทของสินค้า และยี่ห้อของสินค้า ในสาขาเหล่านี้มีความครอบคลุมและหลากหลาย
อย่างไรก็ตาม หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว ได้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยและอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจสุขภาพและความงามเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องหาตลาดรองรับสินค้าและบริการของตนมากขึ้น ประกอบกับต้องศึกษาลู่ทางและโอกาสในการขยายการค้าการลงทุนสู่ประเทศอาเซียนอื่นๆ ที่มีโอกาสทางการตลาดและต้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการที่ต่ำกว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการของไทยสู่เวทีต่างประเทศให้มากขึ้น
นอกจากนี้ การตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ระยะ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2559–2568 ซึ่งได้กำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การเป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ที่เป็นการบริการอย่างครบวงจร 2. การเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) ที่ต่อยอดกับระบบสปา ระบบการทำงานเพื่อสร้างสุขภาพ 3. การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทยและเป็นจุดหนึ่งที่หลายประเทศเข้ามาใช้บริการ และ4. การเป็นศูนย์กลางการศึกษา วิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
“สสว. จึงเห็นควรที่จะเพิ่มโอกาสทางการตลาดและการพัฒนาสินค้าหรือบริการให้กับผู้ประกอบการในสาขาสุขภาพและความงาม ซึ่งจะสามารถเติบโตได้อีกมากในตลาดอาเซียนและตลาดโลก เนื่องจากเป็นสาขาที่มีศักยภาพและสามารถแข่งขันได้ในอาเซียน” ผอ.สสว. กล่าว
สำหรับงาน ASEAN Beauty 2018 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3–5 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เป็นงานแสดงสินค้าด้านความงามและสุขภาพ ซึ่งเน้นการเจรจาธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) ที่ใหญ่ที่สุดที่จัดในประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยแสดงสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้อจากทั่วโลก พร้อมโอกาสในการจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อของประเทศต่างๆ
เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมามีการออกบูธถึง 248 บูธจากผู้ประกอบการกว่า 15 ประเทศ และสามารถดึงดูดผู้ซื้อจากทั่วโลกมากถึง 47 ประเทศและเกิดการจับคู่ธุรกิจมากกว่า 2,500 คู่ พร้อมกันนี้ ยังได้มีการจัดงานสัมมนาด้านวิชาการและการตลาดต่างๆ อาทิ การสร้างแบรนด์ การทำตลาดออนไลน์ และกฎระเบียบและขั้นตอนการส่งออกสินค้า เพื่อผู้ประกอบการสามารถยกระดับความรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับงาน ASEAN Beauty 2018 นั้น มีผู้ประกอบการออกบูธมากกว่า 350 บูธ และคาดว่าจะมีผู้ซื้อมากกว่า 10,000 รายจาก 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งภายในงานจะมีทั้งกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการต่างๆ ในส่วนของ สสว. ได้สนับสนุนและประสานงานด้านต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ SME ไทย
ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับสมาชิก สสว. ที่เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มสุขภาพและความงาม จำนวน 28 บูธ เพื่อจัดแสดงสินค้าภายในงาน รวมถึงจัดกิจกรรมสร้างเครือข่าย โดยเชิญผู้ซื้อต่างประเทศมาร่วมงานไม่ต่ำกว่า 10 ราย เพื่อจับคู่ทางธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกันก็จัดสัมมนาให้ความรู้ ภายใต้หัวข้อ “โอกาสทางการค้าและช่องทางการตลาดในต่างประเทศ”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี