ธุรกิจส่งสินค้าเกษตรกรรม ในทุกๆ วันจะต้องทำการคัดผัก ผลไม้ เพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยในกระบวนการนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Waste หรือสินค้าไม่ได้คุณภาพตามที่โรงงานต้องการ เช่น ขนาดไม่ได้ น้ำหนักไม่ได้ จนเกิดเป็นของเสียตกเกรดกว่าหลายร้อยกิโลกรัม เพราะเหตุนี้เองทำให้ กิตติมา ทองเกตุ เล็งเห็นว่าผักตกเกรดเหล่านี้น่าจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าโยนทิ้งไปเฉยๆ จึงเป็นที่มาของผงปรุงรสจากผักแบรนด์ CARECHOICE ของบริษัท ด.เด็กกินผัก จำกัด ที่ไม่ใช่แค่ปรุงรสอาหารให้อร่อยแต่ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
“ก่อนหน้านี้เราก็ทำธุรกิจส่งสินค้าเกษตรให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ซึ่งในกระบวนที่ส่งให้เขามันจะมีการคัดสเป็กสินค้า อย่างหัวไชเท้า ถ้าความยากไม่ได้ ขนาดไม่ได้เราก็ต้องคัดทิ้ง ปรากฏว่ากลายเป็นมีของเสียเกิดขึ้น 2 – 3 ร้อยกิโลกรัม ผักพวกนี้อย่างหัวไชเท้า หัวหอม ตัวของมันมีคุณสมบัติในการให้กลิ่นและรสชาติ ประเทศจีนหรือญี่ปุ่น เองก็นำมาเป็นเบสในการต้มน้ำซุป เราเลยคิดว่าจะทำยังไงในการแปรรูปผักเหล่านี้เพราะปริมาณของเสียมันเยอะมาก”
จนในที่สุดเธอก็ปิ๊งไอเดียในการเอาผักสดจากโรงงานมาลองทำเป็นผงปรุงรสจากผัก เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยมักจะติดรสชาติ ติดผงปรุงรสต่างๆ ที่ทุกบ้านจะต้องมีติดไว้ เธอจึงเริ่มต้นลงมือทำ พัฒนาและ ปรับปรุงสูตรประมาณ 2 ปีจึงเข้าที่พร้อมออกสู่ตลาด
“เราสังเกตจากครัวเรือนของคนไทย มักจะติดพวกเครื่องปรุง ผงปรุงรส แต่เราอยากจะทำให้สินค้าของเราเป็น แนวสุขภาพ ไม่มีสารเคมีเลย เราเลยมาคิดค้นกรรมวิธีว่าทำยังไงให้ผงปรุงรสอร่อยด้วย ปราศจากสารเคมีด้วย ไม่มีผงชูรส สารกันบูด สีผสมอาหารหรือสารป้องกันการแข็งตัว เราไม่ใส่เลย ก็ทดลองเอาผักมาต้ม ตากแดด เคี่ยว ใช้เวลาประมาณปี ครึ่งถึงสองปี จนได้สูตรที่มีรสชาติพอดี พอเริ่มขายก็มีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ”
สำหรับช่องทางการขายในช่วงแรก เธอได้ใช้ช่องทางออนไลน์ซึ่งง่ายที่สุดในการเข้าถึงลูกค้า อีกวิธีที่ทำให้สินค้า เป็นที่รู้จักมากขึ้นคือการออกงาน Event ต่างๆ เพราะนอกจากที่จะทำให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าแล้วยังเป็นการทดสอบตลาด อีกด้วยว่าเวิร์คหรือไม่เวิร์ค จนในที่สุดก็มีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เธอจึงตัดสินใจที่จะพัฒนาสินค้าให้เข้าสู่โมเดิร์นเทรด จึงเริ่มปรับแพ็คเกจจิ้ง ให้มีความแตกต่างกันในแต่ละสูตร แยกสีชัดเจน ใส่สโลแกนให้สินค้าดูน่าอร่อยเพื่อดึงดูดมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็เข้าสู่โมเดิร์นเทรด เช่น Tops, Villa Market, Lemon Farm, The Mall และอีกหลายสถานที่ชั้นนำ
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำแบรนด์สินค้าไม่เพียงแค่สินค้าต้องมีคุณภาพดีและเข้ากับยุคสมัยที่ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพแล้ว การรับฟังลูกค้าและพัฒนาสินค้าตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน อย่างกิตติมาเองก็ไม่หยุดเพียงผงปรุงรส จากผักแต่ 1 สูตรหรือ 2 สูตร แต่เธอพยายามมองหาทางเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้าจนในตอนนี้มีทั้งหมด 4 สูตรด้วยกันคือ สูตรดั้งเดิม สูตรเห็ดหอม สูตรผัดผักและสูตรสำหรับเด็ก ซึ่งสูตรสำหรับเด็กเกิดจากที่เธอได้คุยกับลูกค้าบนโลกออนไลน์ เธอจะสังเกตว่าส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าคือกลุ่มคุณแม่ที่มาหาสินค้าสุขภาพให้แก่ลูกของตัวเอง
“กลุ่มคุณแม่เหล่านี้เขาต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพให้แก่ลูก แต่ว่าในตลาดมันไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อย่างผงปรุงรสส่วนใหญ่ก็จะมีผงชูรส มีสารเคมี มีกลิ่นสังเคราะห์ พอมาเจอเราเขาก็มีทางเลือกมากขึ้น เราเลยคิดว่าน่าจะพัฒนาเป็นสูตรสำหรับเด็กขึ้นมาโดยเฉพาะด้วยการเพิ่มความหลากหลายของผัก ทั้งแครอท บล็อกโคลี ใส่แคลเซียมจากเนื้อปลา ให้มีสารอาหารครบถ้วน แก้ปัญหาให้แม่ๆ สำหรับลูกที่ไม่ยอมทานผัก มีอีกหนึ่งสูตรที่เรากำลังจะทำคือเป็นสูตรคลีนๆ สำหรับคนไม่ชอบน้ำตาล ไม่ชอบโซเดียมเยอะ คนเป็นโรคไต เป็นเบาหวานหรือทานอาหารคลีนทานได้”
นอกจากนี้กิตติมาได้ปิดท้ายว่าการ Insight ลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งถ้าคิดอะไรให้ลงมือทำเลย ลองเริ่มต้น พัฒนาดูเรื่อยๆ ทำให้ตัวเองเป็น Creator ลองทำสินค้า ลองนำเสนอ ลองนำไปขาย เพราะการทำธุรกิจยุคนี้ไม่ได้ยากเหมือนในสมัยก่อน ไม่ต้องเข้าโมเดิร์นเทรดก็ได้ เริ่มต้นทดลองตลาดจากออนไลน์หรืองาน Event เพื่อที่จะได้เจอกับลูกค้า คุยกับลูกค้า ได้ Feedback จากลูกค้านำมาพัฒนา ต่อยอดสินค้าให้ดียิ่งขึ้น
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี