สปา หนึ่งในธุรกิจดาวเด่นของอุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ (wellness industry) ของโลกจากแนวโน้มอัตราการเติบโตที่สูง จากการคาดการณ์ของ Global Wellness Institute (GWI) แสดงให้เห็นว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจสปาทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยถึง 6% ต่อปี หรือจากมูลค่าตลาดเพียง 1.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 1.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2015-2020 ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวสูงกว่าอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาด wellness industry ทั่วโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยราว 5% ต่อปี หรือจาก 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน
โดยการเติบโตของธุรกิจสปานั้น มีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก 1) จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ GWI และ CIA World Factbook พบว่าประเทศที่มีมูลค่าตลาดธุรกิจสปาใหญ่ที่สุด 20 อันดับแรกของโลกส่วนใหญ่มีระดับอายุเฉลี่ย (median age) ของประชากรสูงกว่า 40 ปี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการใช้บริการสปาที่มากขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 2) กลุ่มชนชั้นกลางทั่วโลกมีระดับรายได้ที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายเงินเพื่อดูแลสุขภาพของตนเองนอกเหนือจากการใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิตประจำวัน และ 3) วิถีชีวิตที่เร่งรีบของกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด
สำหรับมูลค่าตลาดธุรกิจสปาในไทยมีการเติบโตถึงราว 8% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลก หรือขยายตัวจากระดับประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2013 มาอยู่ที่ราว 3.5 หมื่นล้านบาทในปี 2015 สูงเป็นอันดับที่ 16 ของโลกและเป็นอันดับที่ 5 ของเอเชีย เป็นรองเพียงจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และอินเดีย โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ทั้งนี้ จากการประมาณการโดย GWI คาดว่ามูลค่าตลาดของ wellness tourism ทั่วโลกจะเติบโตราว 7% ต่อปีในช่วงปี 2015-2020 จากมูลค่า 19 ล้านล้านบาทเป็น 27 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าธุรกิจสปาในไทยจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตนี้
หนึ่งในรูปแบบสปาที่น่าจับตามองและมีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ hotel spa เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความหลากหลายของกิจกรรมให้แก่นักท่องเที่ยวและช่วยเสริมประสิทธิภาพการสร้างรายได้ให้แก่โรงแรม
Hotel spa สามารถช่วยเสริมจุดแข็งให้ธุรกิจโรงแรม สะท้อนจาก RevPAR ที่สูงกว่า และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจบริการสปาและผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอาง จากข้อมูลของ CBRE Hotels พบว่าโรงแรมในสหรัฐฯ ที่มีบริการสปาจะมีระดับรายได้ต่อห้องพักทั้งหมด (Revenue per Available Room, RevPAR) สูงกว่าโรงแรมที่ไม่มีสปาอยู่ราว 27% สำหรับโรงแรมในเขตเมือง และ 10% สำหรับที่พักแบบรีสอร์ท เนื่องจากโรงแรมสามารถขึ้นค่าห้องพักได้สูงกว่า ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดและรายได้ประจำให้แก่โรงแรมจากฐานลูกค้าที่สมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการสปา รวมถึงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโรงแรมในด้านภาพลักษณ์อีกด้วย
ทั้งนี้ hotel spa ที่มีรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างสามารถสร้างจุดเด่นให้โรงแรมได้ เช่น Zen Zone Spa ของโรงแรม 5 ดาว Gran Hotel la Florida ในบาร์เซโลน่าที่นำเสนอบริการให้ลูกค้าได้พักผ่อนในห้องออกซิเจนบริสุทธิ์ 99.5% ภายใต้แสงสีฟ้าเพื่อบำบัดความเครียดและกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย หรือ K-Spa ของโรงแรม K-West Hotel & Spa ในลอนดอนที่ให้บริการสปาด้วยอุณภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งสลับกับการอบซาวน่าเพื่อช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ลดเซลลูไลท์และเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้ร่างกาย ซึ่งเป็นศาสตร์ hot-and-cold therapy ของฟินแลนด์
ในอีกด้านหนึ่ง hotel spa สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจบริการสปาสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นโดยการขยายธุรกิจสปาในโรงแรม เนื่องจากโรงแรมระดับ 4-5 ดาวส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลที่ดีประกอบกับแขกที่เข้าพักส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง โดยผู้ประกอบการสปาที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เวชสำอางและเครื่องหอมยังสามารถประชาสัมพันธ์สินค้าของตนเองผ่านการใช้งานจริงกับลูกค้าที่ใช้บริการสปา เพื่อเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และสร้างการรับรู้ (brand awareness) ต่อกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น
ปัจจุบันเครือธุรกิจโรงแรมระดับโลกเดินเกมก้าวสู่อุตสาหกรรม wellness industry ด้วยกลยุทธ์การควบรวมกิจการและสร้างความร่วมมือกับธุรกิจสปาและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ กลุ่ม Hyatt Hotels & Resorts ได้เข้าซื้อกิจการ Miraval Group และ Exhale ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม wellness industry ที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุนกว่า 375 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2017 โดยเครือ Hyatt มีแผนที่จะขยายธุรกิจของ Miraval และ Exhale ใน spa หลายรูปแบบ รวมถึง fitness center ในอนาคตเพื่อรองรับความต้องการของแขกที่เข้าพัก
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจโรงแรมยังสามารถสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีชื่อเสียงระดับโลกเพื่อดึงดูดแขกที่เข้าพักรวมถึงลูกค้าจากภายนอกเข้ามาใช้บริการสปา เช่น โรงแรม Hôtel Plaza Athénée ในกรุงปารีสที่ร่วมมือกับ Parfums Christian Dior เพื่อนำแบรนด์สปาอย่าง Dior Institut ไปเปิดให้บริการภายในโรงแรม หรือ Hotel Sahrai ในเมืองแฟ็ส (Fez) ประเทศโมร็อกโกที่ร่วมมือกับ Givenchy Parfums เพื่อให้บริการสปาภายใต้แบรนด์ Givenchy Spa ซึ่งช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ความหรูหราของโรงแรมทั้งสองแห่งได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี อีไอซีแนะผู้ประกอบการโรงแรมไทยควรพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มพื้นที่ให้บริการสปาภายในโรงแรม โดยอาจบริหารธุรกิจสปาด้วยตนเอง เพื่อควบคุมต้นทุนและคุณภาพในการให้บริการสปาได้ แต่อาจมีภาระเพิ่มเติมในด้านการฝึกอบรมพนักงาน โมเดลธุรกิจลักษณะนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนพอสมควร หรืออาจร่วมมือกับผู้ประกอบการธุรกิจสปาให้ลงทุนขยายการให้บริการภายในพื้นที่ของโรงแรม (outsource) เพื่อให้บริการแก่แขกที่เข้าพักรวมถึงลูกค้าในบริเวณใกล้เคียง สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ต้องการบริหารธุรกิจสปาด้วยตนเอง หรือมีเงินลงทุนไม่มากนักอาจเลือกใช้โมเดลธุรกิจลักษณะนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแขกที่เข้าพัก
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสปาควรพิจารณาการขยายธุรกิจไปสู่ hotel spa เพื่อสร้างฐานลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพให้แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากโรงแรมระดับ 4-5 ดาวส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลที่ดี และแขกที่เข้าพักส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูงจึงสามารถขยายฐานลูกค้าที่มีศักยภาพได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังสามารถสร้างโอกาสในการประชาสัมพันธ์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เวชสำอางของตนแก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้
ไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางและเครื่องหอม มีโอกาสที่จะขยายธุรกิจโดยร่วมมือกับผู้ประกอบการโรงแรมเพื่อต่อยอดสร้างธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสปาในอนาคต โดยอาจเริ่มจากการรับจ้างผลิตเวชสำอางขั้นพื้นฐานที่ใช้ในโรงแรม เช่น สบู่ แชมพู ครีมนวดผม เป็นต้น ภายใต้ตราสินค้าหรือแบรนด์ของโรงแรม โดยสามารถต่อยอดธุรกิจดังกล่าวไปสู่การผลิตเครื่องหอมและผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ใช้ในสปาของโรงแรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี