จะเป็นยังไงถ้าในอนาคตเราสามารถสั่งอาหารมาทานที่บ้านได้โดยรถที่ไร้คนขับ แน่นอนว่าเรื่องล้ำๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ถูกพูดถึงและกำลังจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ เมื่อบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำอย่าง Toyota จับมือกับ Pizza Hut เตรียมพัฒนารถส่งพิซซ่าแบบไร้คนขับ
Artie Starrs ประธาน Pizza Hut บอกว่า ทางแบรนด์ได้ทำงานร่วมกับบริษัท Toyota ในการพัฒนารถส่งพิซซ่าแบบไร้คนขับ โดยได้รับแนวคิดมาจากโปรเจกต์รถไร้คนขับของ Toyota หรือที่เรียกว่า e-Palette โดยตัวรถจะมีลักษณะเหมือนตู้อบขนมปังแบบมีล้อ ซึ่งรถแต่ละคันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน หรือใช้บริการได้หลายแบบ อย่างรถส่งพิซซ่าไร้คนขับนี้ มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 13 ไปจนถึง 23 ฟุต ทั้งนี้ เพื่อเป็นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้บริโภค เราจึงให้ความสนใจไปที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการส่งสินค้า และเชื่อว่าตัว e-Palette จะสามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนธุรกิจเดลิเวอรี่ของ Pizza Hut ได้ในอนาคต และด้วยรูปแบบที่ยืดหยุ่นของการออกแบบ e-Palette จะเป็นเสมือนครัวเคลื่อนที่ในพื้นที่ต่างๆ ของโลก
ขณะที่ทาง Toyota ซึ่งได้เปิดเผยแนวคิดเรื่อง e-Palette ที่งาน Consumer Electronics Show ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยตัวรถสามารถทำการขนส่งสินค้าได้หลากหลายรูปแบบ นอกจาก Pizza Hut แล้ว Uber, Amazon, Didi และ Mazda ยังเป็นพันธมิตรสำหรับโครงการนี้อีกด้วย
Sherhara Downing ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ของ Toyota กล่าวว่า ทางบริษัทตั้งเป้าว่าจะได้เห็นรถออกมาวิ่งได้จริงในโอลิมปิก 2563 ประเทศญี่ปุ่นและจะมีวิ่งทดสอบที่ประเทศสหรัฐฯ ก่อนหน้านั้นด้วย
ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของแนวคิดรถส่งพิซซ่าแบบไร้คนขับ โดยเมื่อปีที่แล้ว Ford บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกได้จับมือกับ Domino’s Pizza ประกาศร่วมมือกันในการทดสอบการส่งพิซซ่าด้วยรถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง หรือยานยนต์ไร้คนขับ ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา โดยลูกค้าจะสามารถติดตามการส่งพิซซ่าได้ผ่านจีพีเอส และจะได้รับข้อความให้ออกมารับพิซซ่าเมื่อรถส่งพิซซ่ามาถึง
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยียานยนต์แบบไร้คนขับไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะบริษัทไหนๆก็เล็งเห็นถึงประโยชน์ของนวัตกรรมนี้ในการเอามาช่วยด้านการขนส่งสินค้าและบริการ
จากงานศึกษาของบริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำของโลกอย่าง KPMG ถึงดัชนีบ่งชี้ของประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles Readiness Index) พบว่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีความพร้อมที่สุดสำหรับเทคโนโลยีนี้ รองลงมาคือ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา สวีเดน อังกฤษ เยอรมัน แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นิวซีแลนด์และเกาหลีใต้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี