Text : กองบรรณาธิการ
Photo : กฤษฎา ศิลปชัย
เพราะเชื่อว่าคิดแล้วลงมือทำจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางสู่ความสำเร็จ กัญจิรา ส่งไพศาล ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาเปิดบริษัทของตัวเอง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร เธอใช้ชื่อบริษัทว่า ธิ้งค์อะเดย์ อันหมายถึงคิดไอเดียไปเรื่อยๆ ซึ่งตรงกับเรื่องราวความสำเร็จของเธอที่กว่าจะมาเป็น “ทักทาย” แบรนด์สินค้าแฟชั่นทอมือจากเส้นใยธรรมชาติที่หลายคนพูดถึงในวันนี้
ย้อนกลับไปในวันที่เป็นจุดเริ่มต้น กัญจิราคิดแค่ว่าเธออยากหาผ้าใยไผ่ที่ไม่ยับง่ายมาตัดเสื้อผ้าขาย จนไปพบว่าที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังศึกษาการผลิตเส้นใยไผ่ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ผ้าไม่ยับง่าย แต่โชคร้ายที่ว่างานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่มีใครหยิบมาทำอย่างจริงจัง ซึ่งกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นทางจนออกมาเป็นผ้าซับซ้อนยุ่งยาก ที่สำคัญคือต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เธอต้องลุยเดี่ยวด้วยตัวเอง โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยในกระบวนการสิ่งทอ
นอกจากต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และลองผิดลองถูกด้วยตัวเองแล้ว กัญจิราบอกว่าความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือโรงงานผลิตตลอดกระบวนการล้วนมีขั้นต่ำในการรับผลิต ซึ่งเธอมองว่าเป็นช่องว่างสำคัญที่ทำให้คนรุ่นใหม่ หรือคนที่อยากเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ไม่สามารถเริ่มต้นได้ แต่เธอก็โชคดีที่ได้เงินทุนจากหลายหน่วยงานมาช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเงินทุนต่อเนื่องโดยไม่มีอะไรผูกมัดนอกจากบริษัทต้องได้คืนทุนกลับมาในระยะเวลาที่กำหนด และต้องรายงานผลประกอบการทุกปี
ทว่า กัญจิราเริ่มต้นธุรกิจ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องการขาย หรือเรื่องการตลาดเลย คิดแต่เพียงว่าอยากจะผลิตเสื้อผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งช่วงแรกๆ เธอก็ไปหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องการผลิตเส้นใย ปั่นด้าย และทอผ้าออกมาเป็นผืน เมื่อทำสำเร็จและได้ตัดเสื้อผ้าออกมาขาย ผลปรากฏว่าเสื้อผ้าชุดแรกของเธอขายไม่ได้เลย แม้เนื้อผ้าจะดีและมีการตัดเย็บอย่างปราณีตก็ตาม นั่นเพราะ “ทักทาย” คอลเลคชั่นแรกมีราคาแพงลิ่ว เนื่องจากต้นทุนที่สูงตลอดกระบวนการผลิต
เหตุนี้ผู้บริหารสาวจึงต้องหันกลับใส่ใจกับเรื่องต้นทุน ควบคุมให้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลต่อราคามากนักเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ เธอตัดสินใจลงพื้นที่ไปหาชาวบ้านต่างจังหวัดให้ช่วยทอมือให้ ซึ่งต้นทุนถูกกว่าทอในกรุงเทพฯ มาก หาดีไซน์เนอร์ใหม่ และหาทีมตัดเย็บเอง จนสามารถคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่รับไหว จึงเริ่มคิดถึงเรื่องการขายอย่างจริงจังอีกครั้ง
กระนั้น ด้วยความที่เข้าใจว่าตลาดในเมืองไทยไม่ตอบรับเสื้อผ้าทอมือจากเส้นใยธรรมชาติ เธอจึงอยากหันไปลองตลาดต่างประเทศบ้าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สถาบันสิ่งทอจัดโครงการโมเดิร์นไทยซิลขึ้น กัญจิราตัดสินใจนำเส้นใยทอผ้าเข้าร่วมประกวดในงานด้วย และได้รับคัดเลือกให้ไปแสดงผลงานที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่สำคัญงานนี้ทำให้มีแบรนด์ดังอย่าง หลุยส์วิตตอง มาแสดงความสนใจในผ้าทอมือที่เธอสู้อุตสาห์ปลุกปั้นมาจนสำเร็จ ทำให้แผนการตลาดของทักทายเบนเข็มไปสู่เป้าหมายตลาดต่างประเทศแทน แต่ท้ายที่สุดก็พลาดหวังจากการออกบูธที่ญี่ปุ่นประเทศแรก
กัญจิราจึงหวนกลับมาลองตลาดไทยอีกครั้ง คราวนี้เธอลงทุนไปเปิดบูธแรกที่เกสรพลาซ่า จัดเวิร์คช้อปดึงคนเข้าบูธ ซึ่งครั้งนี้ผลตอบรับออกมาดี มีคนเข้าบูธเยอะจนเธอมั่นใจว่ายังมีคนไทยที่ชอบเสื้อผ้าแนวนี้เพียงแต่ไม่มีใครหยิบขึ้นมาทำให้มันน่าสนใจ จึงลุยตลาดไทยเต็มตัว แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งตลาดต่างชาติไป
นับจากจุดเริ่มต้นที่คิดเพียงแค่อยากมีธุรกิจของตัวเอง กระทั่งจับพลัดจับพลูเข้าไปอยู่ในวงการสิ่งทอจวบจนปัจจุบัน กัญจิรามีโอกาสได้คลุกคลีกับชาวบ้าน ที่สอนให้เธอได้รู้ว่ากำไรธุรกิจไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของเงินเสมอไป ถึงตอนนี้เป้าหมายของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ภาพธุรกิจของเธอในวันนี้ไม่ใช่ธุรกิจขนาดใหญ่โตที่มีพนักงานหลักพันหลักหมื่น หากแต่เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการผลิต ที่สำคัญผลประกอบการไม่ใช่ผลกำไรที่ทำให้ธุรกิจเติบโต หากแต่เป็นความแข็งแกร่งของกลุ่มวัฒนธรรมสิ่งทอที่จะสืบสานไปสู่ลูกหลานของไทยต่อไป ซึ่งนอกจากการทำธุรกิจส่งเสริมรายได้ที่เป็นธรรมให้กับชาวบ้าน รวมทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยแล้ว กัญจิรายังแตกแนวคิดอีกหลายอย่างเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ในสังคมไทย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
RECCOMMEND: ENTREPRENEUR
ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว
เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย
เพราะคำว่า “ไม่จำเป็น” ≠ “ไม่มีประโยชน์” ชิ้นงานแสนฮาของ Matty Benedetto “อัจฉริยะผู้ชั่วร้าย” จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีให้กับผู้ประกอบการที่ตกอยู่ในอาการไอเดียตัน คิดอยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมได้ลองมาเรียนรู้กัน