​ธุรกิจที่เริ่มต้นจากคำถามกวนๆ ของ CEO วัย 13

TEXT : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์

    จากเงินลงทุนเบื้องต้น 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ฮาร์ท เมน เด็กหนุ่มจากรัฐโอไฮโอไม่คาดคิดว่าธุรกิจเทียนหอมที่เขาริเริ่มเมื่อ 7 ปีก่อนตอนที่เขาอายุเพียง 13 ปีจะประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย จากเด็กนักเรียนเกรด 8 ปัจจุบันฮาร์ทซึ่งอยู่ในวัย 20 ยังคงนั่งเก้าอี้ซีอีโอบริษัท Man Cans ผู้ผลิตเทียนหอมกลิ่นพิเศษพร้อมควบสถานะนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเคนต์ สเตท 

    เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน ถือว่าฮาร์ทประสบความสำคัญอย่างมาก นั่นเป็นเพราะความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะลงมือทำ ฮาร์ทเริ่มต้นจากการเห็นน้องสาวทำเทียนหอมขายเพื่อหาเงินให้โรงเรียน เขาจึงตั้งคำถามว่า “ทำไมเทียนหอมที่ขายจึงมีแต่กลิ่นหวานๆ อย่างกลิ่นวานิลลา กลิ่นดอกไม้ มีใครคิดจะทำเทียนหอมสำหรับผู้ชายบ้างไหม” ฮาร์ทยอมรับว่า เขาตั้งคำถามกวนๆ เพื่อแหย่น้องสาวไปอย่างนั้นเอง แต่พ่อแม่กลับยุให้เขาทำจริงๆ



    ด้วยความที่อยากหารายได้เสริมเพื่อซื้อจักรยานวิบากคันละ 1,200 ดอลลาร์ฯ ที่หมายตาไว้ เขาจึงยอมทุบกระปุกนำเงินเก็บ 100 ดอลลาร์ฯ และหยิบยืมจากพ่อแม่อีก 200 ดอลลาร์ฯ รวมเป็น 300 ดอลลาร์ฯ ลงทุนทำเทียนขาย นอกจากวางแผนไว้ว่ากลิ่นของเทียนต้องแตกต่างจากทั่วไปและเจาะกลุ่มผู้ชาย ภาชนะที่บรรจุเทียนก็ต้องไม่ใช่แก้ว เซรามิกหรือวัสดุเหมือนคนอื่น แต่ต้องเป็นอะไรที่รีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วไป ขณะที่นั่งในครัว ฮาร์ทเหลือบเห็นกระป๋องซุป จึงเกิดไอเดียว่าจะนำกระป๋องซุปนี่แหละมาทำบรรจุภัณฑ์เทียนหอมเพราะขนาดกำลังเหมาะ

    ฮาร์ทติดต่อซื้อวัตถุดิบ เช่น แว็กซ์ และเคมีต่างๆ ที่สร้างกลิ่นจากซัพพลายเออร์ เก็บกระป๋องซุปที่ใช้แล้วมาล้างทำความสะอาด และลงมือทำเทียนในครัว เขาแบ่งกลิ่นเทียนออกเป็น 3 หมวดหมู่คือ กลิ่นอาหาร กลิ่นธรรมชาติ และกลิ่นที่ทำให้นึกถึงอดีต กลิ่นที่เขาออกแบบมาได้แก่ กลิ่นพิซซา กลิ่นกาแฟ กลิ่นดิน กลิ่นหญ้าเพิ่งถูกตัด กลิ่นกองไฟ กลิ่นถุงมือหนัง และกลิ่นไปป์ เป็นต้น 

    ฮาร์ทขายเทียนหอมให้เพื่อนๆ คนรู้จัก และเปิดเว็บไซต์ www.man-cans.com จำหน่ายทางออนไลน์ นอกจากนั้น ยังนำเทียนไปเสนอขายตามร้าน ฮาร์ทโชคดีที่ร้านค้าส่วนใหญ่รับเทียนเขาไว้ขาย อาจด้วยเป็นของแปลก และราคาไม่แพง แค่กระป๋องละ 5 ดอลลาร์ฯ


 
    ระยะเวลาไม่ถึงปีจากยอดขาย 300 กระป๋องต่อสัปดาห์ แต่หลังจากที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเสนอเรื่องราวของเขา อีกทั้งสำนักข่าวเอพีนำไปเผยแพร่ ทำให้ฮาร์ทเป็นที่รู้จัก ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากไม่กี่ร้อย เป็นครึ่งหมื่นชิ้นในชั่วข้ามคืน เมื่อออร์เดอร์เพิ่ม ฮาร์ทจึงขยับขยายสถานที่ผลิตจากในครัวที่บ้าน เป็นการเช่าพื้นที่โกดังและจ้างคน 5 คนมาช่วยผลิต และใช้วิธีบริจาคซุปกระป๋องให้โรงทานเพื่อคนจรจัดหลายโรงทานใน 4 รัฐ ได้แก่ โอไฮโอ เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และเวสต์เวอร์จิเนีย หลังจากนั้นก็ทยอยเก็บกระป๋องเปล่าจากโรงทานเหล่านั้นมาใช้ เรียกได้ว่ากระป๋องใส่เทียน Man Can ทุกกระป๋องมาจากการบริจาคซุปให้ผู้ยากไร้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจไป

    อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่เติบใหญ่ขึ้นทำให้ Man Can ต้องเปลี่ยนวิธีการ คือหันไปจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทบีเวอร์ ครีก แคนเดิ้ล โค ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้พิการเป็นผู้ผลิตเทียนให้ และยกเลิกการบริจาคซุปแล้วใช้กระป๋องที่ผลิตขึ้นมาใหม่เพื่อการนี้ ถึงตอนนี้ เทียนหอม Man Can ก็วางจำหน่ายใน 150 ร้านค้าทั่วประเทศ ในราคาชิ้นละ 10 ดอลลาร์ฯ  โดยทุก 1 กระป๋องที่ขายได้จะถูกหัก 75 เซนต์บริจาคให้โรงทานเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน ที่ผ่านมา Man Can บริจาคซุปไปแล้วกว่า 1 แสนกระป๋อง และให้เงินช่วยเหลือราว 35,000 ดอลลาร์ฯ



     ในปีที่ผ่านมา Man Can จำหน่ายเทียนประมาณ 260,000 กระป๋อง ที่น่าสนใจคือสัดส่วนลูกค้าระหว่างชายกับหญิงคือครึ่งต่อครึ่ง โดยกลิ่นที่ได้รับความนิยมที่สุด ได้แก่ กลิ่นหญ้าเพิ่งถูกตัด กลิ่นกองไฟ กลิ่นที่ขายดี คือกลิ่นเบคอน กลิ่นรูทเบียร์ กลิ่นดิน และกลิ่นบาร์บีคิว จากที่ขายทางออนไลน์ และกระจายตามร้านค้า Man Can ยังเพิ่มช่องทางการขายคือรับผลิตเทียนหอมเพื่อเป็นสินค้าระดมทุน และผลิตให้องค์กรต่างๆ อีกด้วย 

    ฮาร์ทเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปี 2015 เขาจึงรามือจากธุรกิจ โดยให้พ่อกับแม่ช่วยดูแลเป็นหลัก เพื่อที่เขาจะทุ่มเทให้การเรียนเต็มที่ แม้จะยังไม่ละทิ้งธุรกิจนี้ แต่ฮาร์ทตั้งเป้าแล้วว่าต้องเรียนให้จบและอาจมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย เช่น การทำธุรกิจเอเย่นต์นักกีฬา จากเด็กเกรด 8 ขี้อาย ไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ประสบการณ์ในฐานะนักธุรกิจรุ่นเยาว์บ่มเพาะให้ฮาร์ทมีความมั่นใจขึ้น 
“ความจริงผมขี้อายมาก แต่การทำธุรกิจทำให้ผมได้ออกจาก ComfortZone ได้เปิดโลกทัศน์และมั่นใจมากขึ้น” นอกเหนือจากการให้สัมภาษณ์สื่อ ฮาร์ทยังเดินสายเป็นวิทยากรตามโรงเรียนต่างๆ บอกเล่าประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้นักเรียน 400-500 คนฟัง   

    ล่าสุดเขาได้รับรางวัลผู้ประกอบการอายุน้อยแห่งปี ประจำปี 2558 จากสมาพันธ์อาชีพอิสระแห่งชาติ และยังร่วมกับเครก เมน คุณพ่อของเขา เขียนหนังสือ “One Candle, One Meal” ถ่ายทอดประสบการณ์การทำธุรกิจ และผลักดันคนอื่นให้ริเริ่มธุรกิจเป็นของตัวเอง 
“ผมได้รับอีเมลจากเด็กวัยเดียวกับผมจำนวนมากที่เขียนมาถาม เขียนมาขอคำแนะนำ ซึ่งผมเองก็พยายามจะตอบคำถามให้ดีที่สุด และผมมักจะบอกพวกเขาว่าอย่าจำกัดตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองยังไม่โตพอที่จะสร้างความแตกต่าง หาโอกาสทางการตลาดให้เจอ แล้วคุณจะได้ลูกค้า และคืนกำไรสู่สังคม แล้วสังคมจะสนับสนุนคุณ”
 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย

วิธีเปลี่ยนไอเดีย “ตัน” เป็น “มันส์” แบบ Matty Benedetto ยอดนักประดิษฐ์จอมกวน  

เพราะคำว่า “ไม่จำเป็น” ≠ “ไม่มีประโยชน์” ชิ้นงานแสนฮาของ Matty Benedetto “อัจฉริยะผู้ชั่วร้าย” จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีให้กับผู้ประกอบการที่ตกอยู่ในอาการไอเดียตัน คิดอยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมได้ลองมาเรียนรู้กัน