Bark Pet wear จับ Street Fashion มาทำเสื้อผ้าน้องหมา

Text : นิธิดา วงศาโรจน์
Photo : กฤษฎา ศิลปไชย


 







      แม้ว่ากระแสธุรกิจสัตว์เลี้ยงในยุคปัจจุบันจะทวีการแข่งขันที่รุนแรง จนผู้เล่นหน้าใหม่ก็ยากที่จะหาช่องว่างเข้าไปโลดแล่นอยู่ในตลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้สามพี่น้องผู้รักสุนัขเป็นชีวิตจิตใจอย่าง สมิตา, วิชชญานี และ ศรีอุรา แห่งบ้าน เลาหนิวัตรวร ย่อท้อต่อการเริ่มต้นธุรกิจแรกในชีวิตแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะผุดแบรนด์เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงสุดชิก Bark Pet Wear พร้อมสโลแกนสุดเท่ Be a Real KOOL! ที่จะเปลี่ยนน้องหมาแสนน่ารักให้ Keep Look เป็นเจ้าตูบสุดเท่





    “ย้อนกลับไปในวันที่ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจนี้ขึ้นมา คือพวกเราสามคนพี่น้องต่างมีความเห็นว่า ต้องการทำธุรกิจสักอย่างหนึ่งร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงจากแรงกดดันในงานประจำที่ทำกันอยู่ ขณะนั้นเราก็มานั่งประชุมและเสนอไอเดียร่วมกันว่าจะเริ่มทำอะไรดี จนกระทั่งมาลงตัวที่ธุรกิจเสื้อผ้าน้องหมา ด้วยปัจจัยแรกเลยคือความรักและความคุ้นชินกับสัตว์เลี้ยงที่เราทั้งสามต่างมีมาตั้งแต่เด็ก ส่งผลให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบและรู้สึกมีไฟกับการเริ่มต้น สนุกไปกับการคิดและการทำ จนกระทั่งลืมความกลัวไปหมดทุกสิ่ง 



    “ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือได้ตอบโจทย์ความต้องการของตนเองลึกๆ เนื่องจากว่าที่ผ่านมาเราพยายามจะหาเสื้อผ้าสุนัขสไตล์ที่เราชื่นชอบแต่ปรากฏว่าในท้องตลาดยังไม่มี ซึ่งส่วนมากจะเป็นสไตล์หวานๆ หรือไม่ก็ให้ความรู้สึกที่เนี้ยบไปเลย 

    ดังนั้น แนว Street Fashion ที่มีกลิ่นอายของวัยรุ่นตะวันตกนิดๆ จึงเป็นคอนเซ็ปต์ที่เราเลือกฉีกออกมาจากแบรนด์เสื้อผ้าสุนัขเจ้าอื่นๆ ซึ่งเราก็วาดฝันกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนี้ไว้แล้วว่าจะมี Activity ที่เป็นวัยรุ่น ชอบใส่รองเท้าผ้าใบ เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ French Bulldog, Pug หรือ Beagle ซึ่งเวลาที่เจ้าของได้พาเหล่าสัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่น มันจะให้ความรู้สึกที่เท่และดูดีมีสไตล์”





    แต่อาจเป็นเพราะการเริ่มต้นจากคนที่ไม่รู้อะไรเลย จึงส่งผลให้ช่วงแรกของพวกเธอออกจะดูขรุขระไปเสียหน่อย แต่ถึงอย่างนั้น บทเรียนต่างๆ ก็เป็นเสมือนครูที่บ่มสอนให้พวกเธอได้เรียนรู้ถึงการพัฒนาสินค้า จนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี พวกเธอก็สามารถสร้างผลงานของ Bark Pet Wear ให้เป็นที่ยอมรับในแง่ของคุณภาพ โดยเฉพาะเนื้อผ้าที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นเนื้อเดียวกับที่คนใส่





    ด้วยความที่เธอทั้งสามเริ่มต้นจากศูนย์ คือ ไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย ถึงขนาดว่าต้องไปเดินเลือกซื้อผ้าเองตามแหล่งต่างๆ กระทั่งใช้เวลาอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ถึงจะลงตัวทุกอย่าง ทั้งวัตถุดิบและแพตเทิร์น จากนั้นจึงได้เริ่มทยอยทำคอลเลกชั่นแรกออกมา โดยคอนเซ็ปต์นั้นจะเน้นลวดลายที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผลปรากฏว่ากระแสตอบรับในช่วงแรกก็ดีพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นผู้ประกอบการหน้าใหม่เหล่านี้ก็มองว่ายังไม่ดีพอ เนื่องจากว่าเนื้อผ้าที่เลือกมานั้นไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับเครื่องพิมพ์ ส่งผลให้สีไม่สด เช่นนั้นจึงได้ทำการพัฒนาอีกครั้งพร้อมส่งคอลเลกชั่นที่ 2 ออกมา เรียกได้ว่าเป็นการต่อยอดที่ลงตัวและลบข้อด้อยของคอลเลกชั่นแรกได้ทั้งหมด 




    “โดยคอลเลกชั่นที่ 2 ยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็นธรรมชาติเอาไว้ โดยลวดลายก็ไม่ได้ต่างจากแบบแรกเท่าไหร่ เพียงแต่เราต่อยอดให้คอลเลกชั่นที่สองนี้แทบจะไม่มีจุดบอด ทั้งเนื้อผ้าที่เราเปลี่ยนมาใช้ผ้าโพลีเอสเตอร์ ซึ่งเหมาะสมกับการพิมพ์ลายแพตเทิร์นลงไป ทำให้สีเสื้อจึงมีความสดใหม่ ไม่เป็นขุย เมื่อซักแล้วแห้งง่าย แถมไม่ยับอีกด้วย 

    พร้อมกันนั้นยังตอบโจทย์กิจกรรมของสุนัข ที่เป็นสัตว์ไม่อยู่นิ่ง ชอบกระโดดและวิ่งเล่นไปมา ตัวเสื้อเองจะสามารถยืดขยาย และหดตัวคืนตลอดเวลา ทั้งยังระบายความร้อนได้ดี ไม่ทำให้น้องหมารู้สึกอึดอัด เรียกได้ว่ามีมาตรฐานเทียบเท่ากับเสื้อผ้าที่คนใส่ทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาลูกค้าเก่าที่เคยอุดหนุนคอลเลกชั่นแรกของเรา เมื่อได้กลับมาซื้อซ้ำในคอลเลกชั่นนี้ต่างก็ชื่นชมพากันสั่งออร์เดอร์เพิ่มอย่างไม่ขาดสาย”


    อีกหนึ่งจุดเด่นที่นอกจากสไตล์และคุณภาพแล้ว ต้องบอกเลยว่า Bark Pet Wear ยังกล้าที่จะแตกต่างและทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน อย่างการผลิตไซส์เสื้อสุนัขให้ตอบโจทย์ทุกสายพันธุ์ เพราะเดิมทีสำหรับสุนัขสายพันธุ์ใหญ่แล้วการหาเสื้อใส่นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ยากมาก โดยส่วนมากถ้าหากเจ้าของไม่สั่งตัดพิเศษ ก็จะเป็นเสื้อผ้ารูปแบบเฉิ่มเชยหรือไม่ก็ทำได้แค่ใส่ผ้าพันคอเอาไว้เท่านั้น  



    “ถึงแม้เราจะวาดฝันไว้แต่แรกแล้วว่า ต้องการให้สุนัขที่ใส่เป็นพันธุ์ประมาณไหน แต่ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง เราก็ควรจะเพิ่มทางเลือกออกมาให้น้องหมาพันธุ์ใหญ่ได้มีโอกาสใส่เสื้อผ้าเท่ๆ ด้วยเหมือนกัน ดังนั้น Bark Pet Wear จึงไม่รอช้าที่จะผลิตเสื้อตั้งแต่ไซส์ 0 ไปจนถึงไซส์ 12 สร้างความต่างจากผู้ประกอบการเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงเจ้าอื่นๆ ด้วย เพราะที่ผ่านมาร้านโดยส่วนมากนั้นมักจะมีไซส์เสื้อผ้าที่ผลิตออกมาอย่างจำกัด ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้สุนัขอย่าง Siberian Husky, Golden Retriever ตลอดจน Rottweiler หมดโอกาส แต่สำหรับเราไม่ใช่ พวกเขาจะได้เท่ทุกตัวอย่างแน่นอน”




    ด้วยจุดเด่นที่มีอยู่ พร้อมกับทางเลือกที่หลากหลายขนาดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแม้แต่น้อย ที่แบรนด์ของสามสาวจะได้รับความสนใจและการตอบรับอย่างดีจากบรรดาลูกค้าที่ได้ซื้อเป็นต้องติดใจและกลับมาซื้อซ้ำอยู่เสมอ พร้อมกับลูกค้าจากต่างประเทศก็ได้เริ่มทยอยเข้ามาสั่งซื้อบ้างแล้ว ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์มานั้น พวกเธอยังไม่ได้ทำการโฆษณาหรือจ่ายเงินโปรโมตแบรนด์แม้แต่บาทเดียว ทุกอย่างเริ่มต้นมาได้แค่การอัพรูปผ่าน Instagram และ Facebook เท่านั้น



    “กระแสตอบรับจากลูกค้าถือว่าดีมาก ยิ่งได้ออร์เดอร์ลูกค้าจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศสวีเดน เบลเยียม หรืออังกฤษ ก็ทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเขาไม่ได้เพียงแค่มาอุดหนุนเท่านั้น แต่ยังติดต่อเข้ามาเพื่อชวนให้เราเป็นพาร์ตเนอร์ร่วม แต่ตอนนี้ถือว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ทั้งกำลังการผลิตและประสบการณ์ต่างๆ ยังเป็นข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่นนั้นเราจึงขอใช้เวลาในการพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแรงในระดับหนึ่งก่อน เมื่อนั้นโอกาสที่เข้ามา เราคงไม่พลาดที่จะคว้าไว้อย่างแน่นอน




    “ส่วนเป้าหมายที่เราตั้งใจจะทำในปีนี้ คือการออก Event ให้มากขึ้น เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก พร้อมทั้งความตั้งใจที่จะขยายโปรดักต์ไลน์ไปสู่ Accessory ตัวอื่นๆ เช่น ผ้าพันคอหรือปลอกคอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังต้องคงความเป็น Bark Pet Wear เอาไว้ และสิ่งสำคัญสุดที่เราตั้งใจจะทำคือกิจกรรม Sharing Shirt Sharing Love หรือโปรเจ็กต์ที่จะให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการทำบุญ เพียงนำเสื้อผ้าสุนัขเก่าๆ มาบริจาคให้แก่ทางร้าน พร้อมรับส่วนลด 100 บาท สำหรับซื้อเสื้อตัวใหม่ของ Bark Pet Wear โดยเสื้อเก่าเหล่านั้น ทางเราจะนำไปบริจาคให้แก่มูลนิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการต่อไป”

    นับว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์น้องใหม่ที่เจิดไปทั้งไอเดีย และเปี่ยมไปด้วยกุศลอย่างแท้จริง!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.facebook.com/BARKPETWEAR

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี (SME)


 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย

วิธีเปลี่ยนไอเดีย “ตัน” เป็น “มันส์” แบบ Matty Benedetto ยอดนักประดิษฐ์จอมกวน  

เพราะคำว่า “ไม่จำเป็น” ≠ “ไม่มีประโยชน์” ชิ้นงานแสนฮาของ Matty Benedetto “อัจฉริยะผู้ชั่วร้าย” จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีให้กับผู้ประกอบการที่ตกอยู่ในอาการไอเดียตัน คิดอยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมได้ลองมาเรียนรู้กัน